'ดร.นิเวศน์’ ปั้น ‘บ. ตีแตก’ ทุนจดทะเบียน 2.2 พันล้าน ลงทุนหุ้นทั่วโลก ลดพอร์ตไทย

'ดร.นิเวศน์’ ปั้น ‘บ. ตีแตก’ ทุนจดทะเบียน 2.2 พันล้าน ลงทุนหุ้นทั่วโลก ลดพอร์ตไทย

ดร.นิเวศน์’ ปั้น ‘บ. ตีแตก’ ทุนจดทะเบียน 2.2 พันล้าน อนาคตเตรียมกระจายพอร์ต 3 ทาง กองหน้าลงทุนหุ้นเวียดนาม กองกลางลงทุนหุ้นทั่วโลก ส่วนหุ้นไทยไว้กองหลัง เตรียมลดพอร์ตลงเหลือ 30% จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 60%

KEY

POINTS

  • “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ VI ตั้งบริษัท ตีแตก จำกัด หวังช่วยลดภาษีส่วนบุคคลที่ 35% เหลือ 20% ในตลาดหุ้นเวียดนาม ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 2,200 ล้านบาท
  • อนาคตเล็งลงทุนหุ้นทั่วโลกเพิ่มากขึ้น อันดับแรกเน้นลงทุนหุ้นจีน เหตุราคาถูกมาก ขณะที่หุ้น หลุยส์ วิตตอง และ AI สนใจไม่แพ้กัน
  • ด้านหุ้นไทยเล็งปรับพอร์ตลงจากปัจจุบันถือ 60% เตรียมลดเหลือ 30% เหตุตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นสมัยใหม่ ที่เป็นหุ้นอนาคต ค่อนข้างอิ่มตัว กำไรเพิ่มน้อย และเศรษฐกิจไทยโตช้า

ดร.นิเวศน์’ ปั้น ‘บ. ตีแตก’ ทุนจดทะเบียน 2.2 พันล้าน อนาคตเตรียมกระจายพอร์ต 3 ทาง กองหน้าลงทุนหุ้นเวียดนาม กองกลางลงทุนหุ้นทั่วโลก ส่วนหุ้นไทยไว้กองหลัง เตรียมลดพอร์ตลงเหลือ 30% จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 60%

เมื่อ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ VI หันมาปรับพอร์ตการลงทุนครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นเวียดนามที่มีขนาดที่ใหญ่ มูลค่าเกินกว่า 2,000 ล้านบาท โดยในแต่ละปีมีกำไรมากน้อยแตกต่างกันไป 

ล่าสุดช่วงปีที่ผ่านมา หากไปลงทุนที่เวียดนามจะต้องเสียภาษี 35% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ดังนั้น “ดร.นิเวศน์” จึงตัดสินใจช่วงสิ้นปี 2566 จัดตั้งบริษัท ตีแตก จำกัด ออกมาเพื่อเป็นการช่วยลดภาษีในการลงทุนที่เวียดนามลง โดย "ดร.นิเวศน์" ได้เล่าให้ "กรุงเทพธุรกิจ" ฟังว่า ปีที่แล้วเวียดนามออกมาตรการจัดเก็บภาษีส่วนบุคคลที่ 35% เนื่องจากปัจจุบันภาษีส่วนบุคคลค่อนข้างสูง เพราะเป็นเม็ดเงินการลงทุนที่เวียดนามค่อนข้างมาก จึงตัดสินใจปรับโครงสร้างเพื่อให้เป็นบริษัท ซึ่งหลังจากนี้หากมีกำไรที่ลงทุนในเวียดนามจะเสียภาษีที่ 20% ถือว่าลดลงมาจาก 35% 

“แม้ว่าจะโดนภาษีลดลงมา 20% จากการปรับโครงสร้างพอร์ตส่วนตัวมาเป็นบริษัทก็ยังมองว่า ยังสูงอยู่ แต่ถือว่ายังเป็นอัตราที่ยังพอรับได้ แต่ถ้าถึง 35% มองว่ายังเยอะไป” 

ทั้งนี้ในช่วง 2 เดือนก่อนสิ้นปี 2566 เวียดนามมีการเปิดโอกาสให้มีการปรับโครงสร้างได้ จีงเป็นที่มาของการเปิด บริษัท ตีแตก จำกัด ซึ่งปัจจุบันเปิดบริษัทเรียบร้อย ลงทุนได้อย่างปกติ แต่สุดท้ายในส่วนของภาษีต้องมาดูกันอีกทีในช่วงสิ้นปี 2567 ว่าจะโดนกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง ณ ขณะนั้นจะเป็นจุดที่บ่งบอกว่า คุ้มหรือไม่ หรือพอรับได้หรือไม่นั่นเอง

บริษัท ตีแตก จำกัด ปัจจุบันเป็นการเปิดมาเพื่อลงทุนเฉพาะที่เวียดนาม โดยบริษัทดังกล่าวเปิดมาเพื่อลงทุนส่วนตัวและคนในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งยืนยันว่า ในระยะสั้น ๆ ไม่ได้เปิดบริษัทเพื่อสาธารณะแต่อย่างใด และไม่ได้เปิดให้ใครเข้ามาลงทุนแต่อย่างใด โดยดร.นิเวศน์ เข้าถือหุ้น 100% กับทางครอบครัว

โดย บริษัท ดีแตก จำกัด มีทุนจดทะเบียน ที่ 2,200 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับพอร์ตที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม ซึ่งถือว่ามีมากกว่า โดยก่อนที่จะจดทะเบียนที่ 2,200 ล้านบาท มีการปรึกษาหารือกันว่า หรือจะจดทะเบียนน้อย ๆ แล้วที่เห็นเป็นเงินกู้ส่วนตัวไป แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว มองว่าไม่ค่อยดี หากบริษัทต้องไปกู้ก็จะทำให้ดูมีหนี้สินค่อนข้างมาก  และต้องมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเข้ามาซึ่งถือเป็นภาระ บวกกับเราเป็นนักลงทุนระยะยาว เพราะฉะนั้นยังอยู่กับการลงทุนอีกยาว จึงตัดสินใจว่า ส่วนใหญ่ให้เป็นเงินทุน และมีกู้นิดหน่อย โดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้วกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ 

หลังจากที่มีการเปิดบริษัท ดีแตก จำกัด พอร์ตการลงทุน ณ ปัจจุบันการลงทุนในเวียดนามยังเท่าเดิม แต่ในอนาคตอาจจะมีการเพิ่มทุนเข้าไปอีก แต่ต้องมาพิจารณาถึงกำไรขาดทุนในช่วงสิ้นปีอีกครั้ง

ขณะเดียวกันจะมีการกระจายการลงทุนในต่างประเทศ มีแผนที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน แต่จะเป็นการแบบไม่เข้าไปลงทุนเอง แต่จะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือ DR (Depositary Receipt) เป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่จดทะเบียนให้ซื้อขายได้เหมือนหุ้น ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งถ้าลงทุนแบบนี้ในต่างประเทศจะทำให้ไม่ต้องเสียภาษี แต่การลงทุนผ่าน กองทุนรวม หรือ DR จะทำให้เกิดการคล้องตัวที่น้อยกว่า มีข้อจำกัด เพราะเราสามารถเลือกลงทุนได้เฉพาะบริษัทที่โบรกเกอร์จัดตั้งขึ้นมาเท่านั้น 

และสุดท้ายเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนในไทยมีอยู่ประมาณ 60-70% แต่ในอนาคตอาจจะมีการปรับลดพอร์ตในตลาดหุ้นไทยลง เพื่อที่จะไปเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศขึ้นอีก 

“ดังนั้นสรุปจะกระจายการลงทุนออกไป 3 ทาง ทางที่ 1 ในตลาดหุ้นไทยยังคงต้องมี แต่อาจจะมีการปรับพอร์ตลงมาจาก 60% เหลือ 30% ในเร็ว ๆ นี้ เพราะมองว่า ปัจจุบันการลงทุนในไทยถือว่ามากเกินไป  ทางที่ 2 เข้าไปลงทุนในหุ้นเวียดนาม และทางที่ 3 เป็นการลงทุนในต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวกับเวียดนาม เช่น จีน เนื่องจากราคาปรับลงมามาก จึงทำให้เกิดความน่าสนใจ อีกชุดในหุ้นต่างประเทศจะเป็นหุ้นระดับโลก ที่ดูอยู่จะเป็นหุ้นหลุยส์ วิตตอง เป็นหุ้นที่มีีราคาที่ไม่แพงมาก หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิป หรือ AI เป็นต้น”

ทั้งนี้ ในส่วนของหุ้นต่างประเทศกำลังศึกษาและพิจารณาดูอยู่ว่า จะเป็นการลงทุนในหุ้นตัวใดได้บ้าง หลังจากนั้นจึงจะเข้าไปดูว่า มีบริษัทใดบ้างที่เปิดแบบ DR ซึ่งเบื้องต้นที่ศึกษามาจะพบว่า หุ้นจีน จะมีการทำ DR ค่อนข้างมาก โดยผ่านทางกองทุนรวม หรือ DR ซึงจีนถือเป็นเป้าหมายแรกที่จะเข้าไปลงทุน เช่น หุ้น Alibaba หรือ หุ้น Tencent ขณะที่หุ้นระดับโลก ที่กำลังพิจารณาดูอยู่ในเรื่องของราคาที่ปัจจุบัน ขณะนี้กำลังดูในเรื่องของราคาที่ปัจจุบันราคา ซึ่งในกลุ่มนี้จะยังคงอยู่ในนามส่วนตัว ยังไม่ได้นำเข้ามาลงทุนในบริษัท ตีแตก จำกัด 

“ในอนาคตจะมีการปรับพอร์ตเป็น กองทุนหน้าเป็นการลงทุนที่ตลาดหุ้นเวียดนาม กองกลางแบ่งเงินลงทุนมายังตลาดหุ้นทั่วโลก และกองหลังเป็นการลงทุนในหุ้นไทย แต่ปัจจุบันถือว่าการลงทุนในหุ้นไทยยังเป็นกองหน้าอยู่ เพราะยังมีการลงทุนที่มาก”  

อย่างไรก็ตาม “ดร.นิเวศน์” มองถึงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังว่า ยังคงเป็นห่วง เพราะหุ้นไทยค่อนข้างเหนื่อย เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่า ไม่มีจุดขายที่ชัดเจน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยโตช้า บวกกับตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นสมัยใหม่ ที่เป็นหุ้นในอนาคต ซึ่งหุ้นที่มีอยู่ค่อนข้างอิ่มตัว กำไรก็เพิ่มน้อย จึงทำให้ในอนาคตมีการปรับพอร์ตลงเป็นกองหลังแทน 

ทั้งนี้ บริษัท ตีแตก จำกัด ตั้งชื่อนามหนังสือ "ตีแตก" ที่เขียนไว้เกี่ยวกับ กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ และเป็นการจัดตั้งบริษัทในรูปแบบโดเมลคล้ายกับของ Warren Buffett ที่จัดตั้งบริษัท Berkshire Hathaway โดยบริษัทจดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 ทุนจดทะเบียน 2,200,000,000 บาท บันทึกประกอบกิจการลงทุนในหุ้นและตราสารการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินอื่นๆ กู้เงิน และอื่นๆ อยู่ในหมวดธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก ปัจจุบันมีรายชื่อบุคคลในครอบครัวเป็น กรรมการ จำนวนทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ 1.ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 2.นางเพาพิลาส เหมวชิรวรากร (ภรรยา) และ 3.นางสาวพิสชา เหมวชิรวรากร (ลูกสาว)