'หมอปุย' ทุ่มซื้อหุ้น BDMS เพิ่มอีก 53.5 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 1,498 ล้านบาท 

'หมอปุย' ทุ่มซื้อหุ้น BDMS เพิ่มอีก 53.5 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 1,498 ล้านบาท 

ก.ล.ต. รายงาน ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ เข้าซื้อหุ้น BDMS จำนวน 53,500,000 หุ้น ที่ราคา 28.00 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 1,498,000,000 บาท

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือก.ล.ต. รายงานข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร (แบบ 59) ระบุว่า นางสาวปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ เข้าซื้อหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS จำนวน 53,500,000 หุ้น ที่ราคา 28.00 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 1,498,000,000 บาท

ปัจจุบัน ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ถือหุ้นใหญ่ BDMS เป็นลำดับที่ 3 จำนวน 823,880,410 หุ้น หรือ 5.18% ขณะที่ นาย ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (พ่อ) ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 1 จำนวน 1,991,558,240 หุ้น หรือ 12.53% และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจการของ นาย ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เข้าถือหุ้นใหญ่ในลำดับ 4 จำนวน 750,917,890 หุ้น หรือ 4.73%

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ในปี 2566 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 14,375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 24,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2565 และรายได้จากการดำเนินงานรวม 102,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2565 

ทั้งนี้ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของศูนย์การแพทย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence - COE) ประกอบกับการเติบโตของรายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติ 23% และรายได้ผู้ป่วยชาวไทย 6% จากปี 2565 ทั้งนี้ รายได้ผู้ป่วยชาวไทยที่ไม่เกี่ยวกับ COVID-19 เพิ่มขึ้น 22% ในปี 2566  

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 3,952 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาส 4/2565 จากการเติบโตของผู้ป่วยไทยและต่างชาติ ประกอบกับการบริหารเงินที่ดี ส่งผลให้รายได้ทางการเงินเพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายลดลง และมี EBITDA 6,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาส 4/2565

ซึ่งมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 26,726 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาส 4/2565 มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่ารักษาพยาบาล 12% โดยมีการเติบโตที่ดีจากรายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติ 18% และรายได้จากผู้ป่วยชาวไทย 10% จากไตรมาส 4/2565

โดยในปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยคาดว่าธุรกิจการให้บริการทางการแพทย์จะมีการเติบโตต่อเนื่อง จากสังคมผู้สูงอายุ รายได้ประชากรต่อหัวที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัด การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เนื่องจากคนใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นเพื่ออายุที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการขยายตัวของ Digital Healthcare และประกันสุขภาพในประเทศไทย 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) ของโลก จากคุณภาพการรักษาพยาบาลที่ดี การมีโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานระดับสากล การบริการที่เป็นเลิศและความคุ้มค่าของราคาค่ารักษาพยาบาล เหตุผลดังกล่าว ทำให้นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสนใจมาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทยมากขึ้น

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2566 และกำไรสะสม ในอัตรา 0.70 บาท/หุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 11,124 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2566 บริษัทได้จ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดเดือน ม.ค.- มิ.ย.2566 ในอัตรา 0.35 บาท/หุ้น คงเหลือเป็นเงินปันผลที่เสนอจ่ายเพิ่มอีก 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินรวม 5,562 ล้านบาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 6 มี.ค.2567 และจ่ายปันผลวันที่ 22 เม.ย.2567