สปอร์ตไลท์กำลังส่อง‘หุ้นอินเดีย’ โบรก-กองทุน แนะจังหวะดีลงทุน

สปอร์ตไลท์กำลังส่อง‘หุ้นอินเดีย’ โบรก-กองทุน แนะจังหวะดีลงทุน

ในปี 2567 บรรยากาศการลงทุนทั่วโลก เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น "Earnings" ของตลาดหุ้นทั่วโลก มีแนวโน้มการฟื้นตัวมากขึ้น โดยตลาดคาดจะเติบโตที่ระดับ 10%

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นอินเดีย” ยืนระยะได้อย่างมั่นคง “ไม่มีแผ่ว !” นับเป็นหนึ่งตลาดหุ้นแห่งความหวัง ควรมีติดพอร์ต
  • ดัชนี MSCI Global Standard Index เพิ่มขึ้น 18.2% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สร้างโอกาสหุ้นอินเดีย มาวิ่งเป็น "ขาขึ้น" กันแบบยาว ๆ 
  • หุ้นอินเดีย Valuation ยังอยู่ในโซนที่สูง "ต้องแลก" กับ “ความหวังโอกาสเติบโตที่สูง” ในอนาคต
  • โบรกเกอร์ มองตลาดหุ้นอินเดีย มีโอกาสโตเป็นหนึ่งใน "ประเทศมหาอำนาจ"  5-10 ปีข้างหน้า เชื่อสร้างผลตอบแทนโดดเด่น   
  • กองทุน ยังแนะเข้าลงทุนอย่าง "ระมัดระวัง" รวมทั้งศึกษา "ปัจจัยเสี่ยง" ให้รอบด้าน มีติดพอร์ต 5-10% 

ในปี 2567 บรรยากาศการลงทุนทั่วโลก เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น "Earnings" ของตลาดหุ้นทั่วโลก มีแนวโน้มการฟื้นตัวมากขึ้น โดยตลาดคาดจะเติบโตที่ระดับ 10%

ในปี 2567 บรรยากาศการลงทุนทั่วโลก เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น "Earnings" ของตลาดหุ้นทั่วโลก มีแนวโน้มการฟื้นตัวมากขึ้น โดยตลาดคาดจะเติบโตที่ระดับ 10% และ “ผู้จัดการกองทุนทั่วโลก” ต่างมองว่า “ตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา” (Emerging Market) ยังมีแนวโน้มการฟื้นตัว จากแรงหนุนของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าฝั่ง "ประเทศที่พัฒนา" แล้ว 

โดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา ที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว และกำลังเข้าสู่ใน "เรดาห์" ของนักลงทุนมากที่สุดในเวลานี้ คงต้องยกให้ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ที่ยังสามารถยืนระยะได้อย่างมั่นคง “ไม่มีแผ่ว !” และนับเป็นหนึ่งตลาดหุ้นแห่งความหวังของใครหลายคนที่ต้องมีหุ้นอินเดียไว้ติดพอร์ตลงทุน  

 

การลงทุน หุ้นอินเดีย

ลงทุนหุ้นอินเดีย "โอกาส-ความเสี่ยง" ที่ควรรู้ 

นอกจาก ความน่าสนใจที่ "โดดเด่น" ของ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ทั้งในมุมของเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก , จำนวนประชากรมากที่สุดในโลก , โครงสร้างพื้นที่ฐานที่แข็งแกร่ง และความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ 

สอดคล้องกับล่าสุด MSCI (Morgan Stanley Capital International) ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีราคาหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั่วโลก ได้ปรับเพิ่มน้ำหนัก “ตลาดหุ้นอินเดีย” ในดัชนี MSCI Global Standard Index เพิ่มขึ้น 18.2% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ณ 13 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา

โดยนักวิเคราะห์ Nuvama Alternative & Quantitative Research มองว่า การเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียล่าสุด เป็นผลมาจากหุ้นอินเดียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่อื่น ๆ โชว์ฟอร์มอ่อนแอ โดยเฉพาะ "ตลาดหุ้นจีน"  

"มองว่า เม็ดเงินจากนักลงทุนกลุ่มสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดีย ในดัชนี MSCI Global Standard มากกว่าระดับ 20% ภายในต้นปีนี้" 

นอกจากนี้ MSCI ยังเพิ่มหุ้นของบริษัทอินเดีย 5 ตัวลงใน ดัชนี Global Standard Index โดยไม่มีการคัดหุ้นอินเดียตัวใดออกเลย ขณะที่มีการนำหุ้นของบริษัทจีนออกไปทั้งหมด 66 ตัว และเพิ่มเข้ามาอีก 5 ตัว   

จากปัจจัยดังกล่าว ตลาดจึงมองว่า ประเด็นบวกดังกล่าวจะช่วยดึงดูด “แรงซื้อต่างชาติ” ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการสร้าง "โอกาส" ในระยะข้างหน้า ให้ “หุ้นอินเดีย” กลับมาวิ่งเป็น "ขาขึ้น" กันแบบยาว ๆ  ดังนั้น ในการเข้าลงทุนด้วย ราคาหุ้นอินเดีย (Valuation) ยังอยู่ในโซนที่สูง ดังนั้น จึง "ต้องแลก" กับ “ความหวังโอกาสเติบโตที่สูง” ในอนาคตด้วยเช่นกัน 

ด้วยศักยภาพของภาคการผลิตและการบริการ (PMI) ของประเทศอินเดีย ที่กำลังขยายตัว "ระดับสูง" อย่างต่อเนื่อง จึงถือว่ามีโมเมนตัมที่ดีในการลงทุน และเหนือว่าประเทศอื่น ๆ  

“สุรศักดิ์ ธรรมโม” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น มีมุมมอง "เชิงบวก" ต่อประเทศอินเดีย จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูง อ้างอิงจาก "กองทุนการเงินระหว่างประเทศ" (IMF) ประเมินการเติบโตของ "จีดีพี" ปี 2567-2568 อยู่ที่ 6.5% จากการมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกที่ 1.42 พันล้านคน ณ สิ้นปี 2563  

ขณะที่ สัดส่วนของประชากรวัยแรงงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวหรือ GDP Per Capita ของประเทศอินเดีย อ้างอิงจาก IMF อยู่ที่ 9.18 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับประเทศจีนที่ 2.33 หมื่นดอลลาร์ 

ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นอินเดีย มีโอกาสเติบโตอีกมาก และจะกลายเป็นหนึ่งใน "ประเทศมหาอำนาจ" ที่สำคัญของโลกในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ดังนั้น ในอนาคตเราจะคัดเลือกกองทุนหุ้นอินเดียจาก บลจ.พันธมิตร เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางเลือกการลงทุน โดยเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้าง "ผลตอบแทนโดดเด่น" 

อย่างไรก็ตาม “หุ้นอินเดีย” ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ในฝั่งผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนมายาวนานมากกว่า 8 ปีอย่าง “ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย มองว่า การลงทุนหุ้นอินเดียช่วง 8 ปีที่่ผ่านมา สร้าง "ผลตอบแทน" เฉลี่ยราว 10% ขณะที่ ผลตอบแทนปี 2566 เป็นบวกถึง 21% ดังนั้น ในช่วงนี้ เรามองเป็นจังหวะ Wait and See มากกว่า 

ขณะที่ นักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุน ควรต้องรู้ว่า ราคาหุ้นอินเดีย ณ ปัจจุบันเริ่มแพงขึ้นแล้ว และหากตลาดเกิดความผันผวนขึ้นมาในอนาคต อาจจะส่งผลกระทบ "รุนแรง" ได้ ดังนั้น ยังแนะนักลงทุนเข้าลงทุนอย่าง "ระมัดระวัง" รวมทั้งศึกษา "ปัจจัยเสี่ยง" ให้รอบด้าน เช่น นโยบายรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงได้ หากเปลี่ยนตัวผู้นำประเทศ พร้อมกับกระจายเงินลงทุนตามสัดส่วนพอร์ตลงทุนที่เหมาะสม และไม่แนะนำให้ทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดมากเกินไป 

“วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์" Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย  ให้มุมมองว่า เห็นโอกาสในการทำ "กำไร" ในตลาดหุ้นอินเดีย และต้องการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนรับโอกาสการเติบโตจากปัจจัยบวกต่างๆ ในตอนนี้ แต่ยังคงแนะนำกระจายการลงทุนระดับ 5-10% ของพอร์ตลงทุน จากความเสี่ยงของตลาดหุ้นอินเดียยังคงมีอยู่ ทั้งจากราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้น ความผันผวนของราคาน้ำมันจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการเลือกตั้งของอินเดียที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 !