ส่องงบการเงิน ‘หุ้น 7 นางฟ้า‘ หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ มีกำไรนำโด่ง บวก 200%

ส่องงบการเงิน ‘หุ้น 7 นางฟ้า‘ หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ มีกำไรนำโด่ง บวก 200%

ส่องงบการเงิน Magnificent Seven หรือ “หุ้น 7 นางฟ้า” หุ้นเทครายใหญ่มูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2566 ที่เอาชนะ "หุ้น Value" โดยมี Top 3 หุ้นที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม! นำโดยAmazon มีกำไรเพิ่มขึ้นมากถึง 200% ส่วนหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla กลับมีผลงานไม่น่าดึงดูด

ในปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven หรือ “หุ้น 7 นางฟ้า” ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ทั้ง 7   ตัวที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2566 เอาชนะ "หุ้น Value" แม้อัตราดอกเบี้ย ยังคงปรับขึ้นก็ตาม เพราะการเกิด "วิกฤติแบงก์สหรัฐฯ" ส่งผลให้ "หุ้นการเงิน" มีน้ำหนักที่สูงมากในกลุ่ม Value ปรับตัวลดลง 

 “Magnificent 7” หรือ  “หุ้น 7 นางฟ้า” หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ซึ่งจดทะเบียนในสหรัฐฯได้แก่ Apple (AAPL), Amazon (AMZN), Alphabet (GOOGL), Nvidia (NVDA), Meta Platforms (META), Microsoft (MSFT) และ Tesla (TSLA) โดย Nvidia (NVDA) 

 โดยดัชนีหุ้น Nasdaq คว้าแชมป์ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2566 เติบโต 43.42% เอาชนะ S&P 500 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 24.23% ซึ่งเป็นผลมาจากกระแส AI ที่นักลงทุนให้ความสำคัญ แทนที่หุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลด้านความเสี่ยงเงินฝากและอัตราดอกเบี้ย 

ส่องงบการเงิน เข้าซื้อตอนนี้ยังทันมั้ย?

ทำให้เป็นที่จับจ้องของนักลงทุนถึงการคว้าโอกาสสำหรับการวางแผนการลงทุนในปีต่อไป ซึ่งสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดก่อนการลงทุนคือ “งบการเงิน” มาดูกันว่าในตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของหุ้นทั้ง 7 ตัวนั้น มีรายได้และกำไรเท่าไหร่ ยังเป็นที่น่าพอใจอยู่หรือไม่ หรือไม่น่าสนใจสะแล้ว เพราะราคาอยู่ในเกณฑ์ที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกได้ว่า”ราคาสูงเกินไปแล้ว”

ส่องงบการเงิน ‘หุ้น 7 นางฟ้า‘ หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ มีกำไรนำโด่ง บวก 200%

Top 3 หุ้นที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม!

Amazon.com Inc. (AMZN)  กลายเป็นผู้ที่สามารถทำกำไรได้”สูงสุด”ในบรรดาหุ้นเทคในปี 2566 จากรายได้ 5.74 แสนล้านดอลลาร์  เพิ่มขึ้น 12% โดยมีกำไร 3.69 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากถึง 200% จากปีก่อน รวมทั้งสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 41.07% ซึ่งตอนนี้มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.65 ล้านล้านดอลลาร์

Nvidia (NVDA)  ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ นำทับด้วย เจนเซ่น หวง ( Jensen Huang) ไม่เพียงแค่คว้าผลตอบแทนอันดับ 1 ขึ้นแท่น "หุ้นเทคแห่งปี" เท่านั้น สร้างผลตอบแทนตลอดทั้งปี เพิ่มขึ้น 190.33%   โดยทั้งปี 2566 มีรายได้ 4.48 หมื่นล้านดอลลาสร์ เพิ่มขึ้น 57.07% จากปีก่อน และมีกำไร 3.13 หมื่นล้านดอลลาร์  เพิ่มขึ้น 89.69%

รับอานิสงส์การเติบโตของ AI ด้วยยอดสั่งซื้อชิปประมวลผลสำหรับปัญญาประดิษฐ์จำนวนมากในปีนี้เพื่อ แม้จะมีแรงสกัดของสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐกับจีน ทำให้มูลค่าบริษัทตอนนี้ออยู่ที่ 1.56 ล้านล้าน

หุ้นที่ทำกำไรได้มากเป็นอันดับที่ 3 คือ Microsoft Corporation (MSFT)  จากรายได้ 2.27 แสนล้านดอลลาสร์  เพิ่มขึ้น 11.51% และมีกำไร 1.58 แสนล้านดอลลาร์  เพิ่มขึ้น 14.11% จากปีก่อน ทำให้ตอนนี้บริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมาก็ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม ให้ผลตอบแทนตลอด 1ปี เพิ่มขึ้น 52.60%

ผลงาน Tesla ไม่น่าดึงดูด

ส่วนหุ้นที่ทำผลงานออกมาได้ผิดคาด คือ Tesla Inc.  (TSLA) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เรียกเสียงฮือฮาได้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปี 2566 มีรายได้ 9.67 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18.8%  แต่กลับมีกำไร 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 15.31%  จากปีก่อน หนำซ้ำยังมีผลตอบแทนตลอด 1 ปีที่ผ่านมาลดลง 2.49% ทำให้มูลค่าตลาดลงไปที่ 5.75 แสนล้าน

3 หุ้นเทคเป็นไปตามคาด

ด้าน Alphabet Inc. (GOOGL) มีรายได้ 3.07 แสนล้านดอลลาร์  เพิ่มขึ้น 8.68% มีกำไร 1.74แสนล้านดอลลาร์  เพิ่มขึ้น 11.13%  ทั้งปี 2566 ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 31.17%

ส่วน Apple Inc. (AAPL) ที่ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่ขึ้นอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดอยู่ที่ 17.3% จำนวนส่งมอบรวมทั้งสิ้น 271.3 ล้านเครื่อง แซงเจ้าถิ่นมาได้  ทั้งปี 2566 มีรายได้ 1.19 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.7% มีกำไร 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 8.9% และให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น  23.90%

และหุ้นเทคที่มีกระแสแรงทั้งปี  เคลื่อนไหวนิดหน่อยก็ได้รับการพูดถึง Meta Platforms (META) มีรายได้ 1.34 แสนล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 16% มีกำไร 8.8 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1% เท่านั้น แต่ก็สร้างความพอใจให้กับนักลงทุนที่สร้างผลตอบแทนตลอดทั้งปีเพิ่มขึ้น 109.13%

หุ้น 7 นางฟ้าแพงแล้ว!

มอร์นิ่งสตาร์มองว่าการลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายในระดับที่แพงอย่าง Magnificent Seven มีความน่าสนใจลดลงเนื่องจากภาวะดอกเบี้ยหรือต้นทุนของเงินทุนไม่ได้อยู่ในระดับต่ำอีกต่อไป นักลงทุนจึงลังเลที่จะจ่ายเงินเพื่อลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายแพงอีกต่อไป

ขณะที่หุ้น Value โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานอย่างมาก  จึงเชื่อว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนหุ้น Value ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนใน Value stocks จากนี้ไปขึ้นอยู่กับ "อัตราดอกเบี้ย" และ "ภาวะเศรษฐกิจ" 

เมื่อเฟดส่งสัญญาณว่าจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง "ตลาดตราสารหนี้" ก็ส่งสัญญาณถึงการคาดการณ์ว่าจะเกิดการลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในช่วงเดือนมี.ค. ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเฟด จะตัดสินใจอย่างไร และถ้าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงก็อาจส่งผลให้การคาดการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

หาก "อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงมากกว่า" ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็อาจกลายเป็น "ปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่ม Growth " แทน และในทางกลับกันหาก "อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงน้อยกว่า"ที่ตลาดคาดกาณ์หรือชะลอก็จะเป็น "ปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่ม Value " นั่นเอง