ลุ้น‘หุ้นจีน’ครึ่งหลังฟื้นเด่น แนะติดพอร์ตลงทุนไม่เกิน 10-15% 

ลุ้น‘หุ้นจีน’ครึ่งหลังฟื้นเด่น  แนะติดพอร์ตลงทุนไม่เกิน 10-15% 

ช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ ดัชนีหุ้นจีน ผลตอบแทนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นจีน ปรับตัวลงลึกกว่า 40-50% ความเสี่ยงใหญ่หุ้นจีน มาจากทั้ง ปัจจัยเสี่ยงภายนอก และภายในรุมเร้า  

สำหรับปัจจัยเสี่ยง ภายนอก จากเศรษฐกิจโลกหดตัว และปัจจัยเสี่ยงภายใน ภาวะชะลอตัวเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปัญหาสภาพคล่องอสังหาริมทรัพย์ ทางการจีนออกนโยบายไม่เป็นมิตรต่อธุรกิจ และความมั่นคงของธนาคารเงา (Shadow Banking) 

3 ปี ผลตอบแทน หุ้นจีน ร่วงหนัก

"สุกิจ อุดมศิริกุล" กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง“ตลาดหุ้นจีน” เป็นตลาดหุ้นที่เล่นยากสุดในเวลานี้ แต่ปีนี้ยังคาดหวังโอกาส “ลุ้นรีบาวด์” หลังตลาดปรับตัวลงลึก ขึ้นกับมาตรการทางการจีนที่เข้ามาจะกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นแค่ไหน ส่วนปัญหาภาคอสังหาฯของจีนยังใช้เวลาแก้ปัญหาราว 10 ปี ที่ผ่านมาจึงเห็น ตลาดหุ้นจีนชะลอตัวมาระยะหนึ่งและไตรมาสแรกปีนี้ ผลประกอบการออกมาไม่ดี กดดันให้ต้องขยายกรอบการลงทุนหุ้นจีน ยาวขึ้นจาก1 ปีฟื้นตัว  เพิ่มเป็น 3-5 ปี  

 

แต่หลังทางการจีนอัดปืนบาซูการ์แล้ว ควรมองโอกาสหุ้นจีนฟื้นตัว ในไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ปีนี้ ลงทุนได้ในหุ้นจีนได้ประโยชน์ จาก AI  มีงบดุลแข็งแรง มีสภาพคล่องเพียงพอลงทุนเทคโนโลยีใหม่ได้ดีกว่ากลุ่มอื่น มีข้อจำกัดน้อย เช่น TSMC, Baidu, China Mobile  

รวมถึงกลุ่มหุ้นคุณภาพดี และเติบโตดีในธุรกิจใหม่ มีพัฒนาการเทคโนโลยีที่จีนจะพึ่งพาประเทศอื่นน้อยลง เลือกบริษัทที่เป็นผู้นำตลาด มีแรงต้านทานกับการแข่งขันสูงได้ เช่น BYD, Trip.com, Alibaba, SMIC

ถ้าหากเศรษฐกิจจีนหลังจากไตรมาส 2 ยังไม่ฟื้น จะเป็นความเสี่ยงต่อเนื่องในไตรมาส 4  โดยเฉพาะภาคอสังหาฯและธนาคาร จนท้ายสุดแล้วตลาดหุ้นจีนยังไม่รีบาวนด์ในปีนี้ ผู้ลงทุนคงจำเป็นต้องยอม มอบตัว "ขายขาดทุน" แต่การขาดทุนก็ไม่ได้มากมายเหมือนปีก่อน

“พงศธร ลีลาประชากุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นักวิเคราะห์การลงทุนตราสารทุนต่างประเทศ บล. เกียรตินาคินภัทร มองว่า ผลตอบแทนหุ้นจีนระยะสั้นใน “ระดับปานกลาง”ท่ามกลางภาวะผันผวนอยู่ระดับสูงจากความเสี่ยงต่างๆ  แต่ตลาดหุ้นจีนปรับลงต่ออย่างมีนัยสำคัญระยะสั้น "ค่อนข้างจำกัดแล้ว"  จากวอลุ่มเบาบางและตลาดสะท้อนความกังวลต่างๆ ในระดับที่สูงแล้ว  

มองจุดกลับเข้าลงทุน เมื่อตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นอย่างมีเสถียรภาพได้ คือ 1. มีแผนการปฏิรูปที่ชัดเจนเกี่ยวกับหนี้รัฐบาลท้องถิ่นและภาคอสังหาริมทรัพย์ 2.มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้น เกี่ยวกับการควบคุมการโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนจีน

ปัจจุบันนี้ ทีม CIO Office มีมุมมองระยะสั้นต่อหุ้นจีนเป็น Neutral  แนะมีหุ้นจีนระดับ 3% เทียบน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งเป็นน้ำหนักใกล้เคียงกับตลาด หากนักลงทุนสถานะลงทุนระดับสูงกว่าระดับนี้ หรือมีสถานะกระจุกตัวมาก สร้างความผันผวนพอร์ตลงทุนแนะ “ลด"  กระจายลงทุนไปในหุ้นภูมิภาคหลักอื่นๆ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหรือมีสถานะน้อยกว่าระดับนี้แนะ “ตั้งรับ” รอความชัดเจนจากปัจจัยหนุนต่างๆ  

“ศิระ คล่องวิชา” ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี มองว่า กลยุทธ์ลงทุนตลาดหุ้นจีนที่เหมาะสม คือ การทยอยเข้าลงทุน (DCA) จากตลาดหุ้นจีนปัจจุบันมีเซนทิเมนท์การลงทุนที่อ่อนแอ แนะนักลงทุนรายเดิม “ยังถือ”  ส่วนนักลงทุนรายใหม่ “ทยอยสะสม” สัดส่วนหุ้นจีนมีไม่เกิน 15% ของพอร์ตการลงทุน เพราะเป็นตลาดกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะตัวจากนโยบายภาครัฐ 

“วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย  มอง ตลาดหุ้นจีน Neutral จากปัจจัยสนับสนุนด้าน Valuation ที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต หากมาตรการรัฐบาลจีนเริ่มเห็นผลบวก ช่วยดึงดูดต่างชาติกลับมาลงทุนอีกครั้ง

แนะนักลงทุนที่มีและไม่มี สามารถ "ทยอยสะสม" หุ้นจีนได้ มีติดพอร์ตสัดส่วนจำกัด 10-15% ของพอร์ตลงทุน หากเกินกว่าระดับนี้ แนะ "ลดสัดส่วน" ไปยัง สหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น เวียดนาม มองหุ้น A shares น่าสนใจกว่า เพราะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระยะยาว ส่วน H share ยังผันผวนจากปัจจัยนอกประเทศสูงกว่า

“บดินทร์ พุทธอินทร์”  ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย)  ประเมินว่าตลาดหุ้นจีน ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับสถิติในอดีต ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดี แม้ว่าจะเติบโตต่ำกว่าในอดีตที่ผ่านมา ส่วนความเสี่ยงในภาคอสังหาฯประเมินว่ารัฐบาลมีศักยภาพเพียงพอที่จะบริหารจัดการได้ 

นอกจากนี้ด้วย Valuation ที่ค่อนข้างถูก (FWD PE 11.6X สำหรับ CSI300 และ 7.3x สำหรับ Hang Seng China Enterprise) ขณะที่คาดการณ์กำไรเติบโตแข็งแกร่งในปีนี้ที่ 16.17% สำหรับ CSI300 และ 9.33% สำหรับ Hang Seng China Enterprise 

เรามีมุมมองว่าหุ้นจีนยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ในระยะยาวโดยน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2 ปีนี้ เนื่องจากต้องรอให้ตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาส 1 ปีนี้ก่อน

สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนอยู่แล้วเราแนะนำให้ wait&see ไปก่อน ขณะที่นักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนแนะนำให้รอตัวเลขเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน  

“เรายังคงชื่นชอบหุ้นจีน A-Shares มากกว่า H-Shares อยู่เนื่องจากมีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากกว่า”