ส่อง 10 หุ้น ต่ำ 10 บาท ปันผลสูงสุด 9% แถมราคาปี 2566 เป็นบวก

ส่อง 10 หุ้น ต่ำ 10 บาท ปันผลสูงสุด 9% แถมราคาปี 2566 เป็นบวก

หุ้นต่ำ 10 บาท ที่มีอัตราปันผลตอบแทนในระดับเกิน 4% ขึ้นไป และยังทำผลงานในเรื่องอัตราผลตอบแทนด้านราคาในรอบ 1 ปีเป็นบวก หุ้น TIPCO ปี 66 ปันผลสูงสุด 9.83% ราคา 3 ม.ค.67 ปิดที่ 9.25 บาท

หุ้นราคาต่ำ 10 บาท เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุนที่อาจมีทุนทรัพย์ หรือกระสุนไม่มากนัก เพราะการลงทุนแต่ละหลักทรัพย์จะใช้เม็ดเงินในประมาณที่ไม่มาก ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้คัดหุ้นต่ำ 10 บาท ที่มีอัตราปันผลตอบแทนในระดับเกิน 4% ขึ้นไป และยังสามารถทำผลงานในเรื่องอัตราผลตอบแทนด้านราคาในรอบ 1 ปีเป็นบวกอีกด้วย

ส่อง 10 หุ้น ต่ำ 10 บาท ปันผลสูงสุด 9% แถมราคาปี 2566 เป็นบวก

1.บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 9.83%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 1.11%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 9.25 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 4,391 ล้านบาท

2.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 7.87%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 1.17%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 1.85 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 29,510 ล้านบาท

3.บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 6.84%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 33.08%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 5.35 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 5,616 ล้านบาท

4.บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PT

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 6.67%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 23.70%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 8.40 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 2,370 ล้านบาท

5.บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 6.56%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 2.78%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 9.45 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 36,906 ล้านบาท

6.บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 6.13%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 1.86%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 8.15 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 7,011 ล้านบาท

7.บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 5.92%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 1.20%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 8.45 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 7,553 ล้านบาท

8.บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPH

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 5.47%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 6.61%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 6.40 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 3,522 ล้านบาท

9.บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ NYT

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 4.93%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 25.86%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 4.40 บาท
  • มาร์เก็ตแคป 5,431 ล้านบาท

10.ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB

  • อัตราเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 4.35%
  • ผลตอบแทนราคา 1 ปี อยู่ที่ 19.15%
  • ราคา 3 ม.ค.2567 ปิดที่ 1.65 บาท 
  • มาร์เก็ตแคป 163,131 ล้านบาท

วีระวัฒน์  วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจในการคัดเลือกหุ้นปันผลว่า ต้องหาหุ้นที่มีการจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอก่อนเป็นอย่างแรก ขณะเดียวกันต้องพิจารณาในความเสี่ยงที่จำกัด หรือมีความเสี่ยงต่ำ หรือเป็นหุ้น Defensive 

ทั้งนี้หุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้ดี จะเทรดอยู่ที่ P/E ไม่แพงอยู่ในระดับต้นๆ ที่ 10 เท่า ที่ให้ปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันการหาหุ้นปันผลในปัจจุบันควรคัดเลือกหุ้นที่ให้ยีลด์ได้ถึง 6% ขึ้นไป ถือว่า เป็นระดับที่เหมาะสมอัตราดอกเบี้ย ณ ปัจจุบันที่ปรับขึ้นมา 

“เน้นเป็นผันผวนต่ำเป็นธุรกิจที่มีความสม่ำเสมอ หากธุรกิจมีกำไรปรับขึ้นลงบ่อย ๆ ในแต่ละปี สุดท้ายการจ่ายปันผลก็จะไม่สม่ำเสมอ และทำให้ราคาเหวี่ยงด้วย”

ณัฐ ตรีพูนสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การคัดเลือกหุ้นปันผล นักลงทุนต้องมั่นใจว่า ธุรกิจที่เข้าไปลงทุนจะยังคงดีเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจที่ถูก Disruption และต้องไม่ใช่ธุรกิจที่มีกำไรพิเศษเข้ามาและจ่ายปันผลได้สูงกว่าปกติ 

เช่น บางธุรกิจที่ขณะนี้อาจจะไปทำธุรกิจการปล่อยสินเชื่อรถ และปัจจุบันราคารถมือสองตกลงมาค่อนข้างมาก ดังนั้นเมื่อมีการยึดรถมา และนำมาขายทอดตลาดก็จะทำให้ขาดทุน ดังนั้นธุรกิจประเภทที่ยกตัวอย่างมาก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงไป ถึงแม้ว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลสูงก็ตาม ในทางกลับกัน หากธุรกิจที่ดี นักลงทุนสามารถเก็บเข้าพอร์ตเพื่อรอปันผลได้

ปัจจุบันหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ หรือกองทุน REIT รวมถึงหุ้นกลุ่มสื่อสาร และธนาคาร จะมีความน่าสนใจ โดยกลุ่มอสังหาฯ หลังจากที่มีนโยบายฟรีวีซ่า ให้กับนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มที่จะได้ประโยชน์เด่น ไม่แพ้กลุ่มท่องเที่ยวคือ กลุ่มอสังหาฯ เนื่องจากว่า ต่อไปหากนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวเมืองไทยได้บ่อยขึ้น อาจจะมีความต้องการในการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าบ่อยๆ นั่นเอง โดยจะเห็นได้ว่า หุ้น SIRI หลังจากที่ประกาศนโยบายดังกล่าว ราคาปรับตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างดีเช่นกัน  ขณะที่ SPALI ก็ปรับขึ้นมาเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ยังต้องเข้าไปดูอีกว่า นักท่องเที่ยวจีนมีความต้องการในทำเลใด และทำเลนั้น ๆ บริษัทอสังหาฯ มีสต็อกมากน้อยแค่ไหน เพื่อเป็นข้อมูลในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตได้

ขณะที่กลุ่มสื่อสาร ถือว่าเป็นปัจจัย 6 ที่ทุกๆ คนต้องมี และถือว่า เป็นสินค้าที่จำเป็น และในตลาดมีเพียงแค่ 2 ค่ายเท่านั้น ดังนั้นการต่อรอง หรือการกำหนดราคาของฝั่งผู้ขายสูงขึ้นมาก ทำให้กำไรในปีนี้คาดว่า  ADVANC จะดี และสามารถจ่ายปันผลได้ดี 

สุดท้ายในกลุ่มของธนาคาร ที่สามารถจ่ายปันผลได้อย่างโดดเด่นคือ TISCO แต่ถ้าดูราคาหุ้นอาจจะไม่มีการปรับขึ้นลงสักเท่าไร ส่วนใหญ่ราคามักจะอยู่ที่เดิม ขณะที่หุ้น SCB สามารถจ่ายปันผลได้ค่อนข้างโดดเด่นเช่นกัน และรองลงมา เป็น หุ้น BBL และ KBANK