NUSA ขายหุ้น WEH ! ขุมทรัพย์ร้อนปมขัดแย้งข้ามปี ‘ประเดช-วิษณุ’

NUSA ขายหุ้น WEH ! ขุมทรัพย์ร้อนปมขัดแย้งข้ามปี ‘ประเดช-วิษณุ’

เริ่มต้นปี 2567 แวดวงตลาดหุ้นคงต้องจับตา “ปมร้อนข้ามปี” ระหว่าง “กลุ่มวิษณุ เทพเจริญ” ผู้ก่อตั้ง NUSA กับ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” ที่เพิ่งผงาดถือหุ้นใหญ่ได้ไม่นาน จะจบลงอย่างไร ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามเกมละครดังกล่าวต่อไป !

ย่างเข้าสู่เดือนธ.ค. ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี 2566 แต่ใน “แวดวงตลาดหุ้น” ยังคงมีประเด็นร้อนแรงบนหน้าสื่อ เมื่อ “2 กลุ่มผู้บริหาร” ใน บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA นั่นคือ “วิษณุ เทพเจริญ” ผู้ก่อตั้ง NUSA กับ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” ผู้บริหารจากบริษัทพลังงานรายใหญ่ บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ที่เพิ่งเข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน NUSA ทั้งทางตรง และผ่านบริษัท ธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด

              หากย้อนจุดเริ่มต้นคงเริ่มเมื่อ 16 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา เมื่อคณะกรรมการ NUSA มีมติเพิ่มทุนครั้ง “มหึมา” นำหุ้น NUSA แลกกับหุ้น WEH ซึ่งกลุ่มประเดช กิตติอิสรานนท์ นักลงทุนรายใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1โดยมีมติซื้อหุ้น WEH จำนวน 29 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 10 บาท หรือสัดส่วน 26.65% ของทุนจดทะเบียน ในราคาหุ้นละ 405 บาท มูลค่ารวมทั้งสิ้น 11,748.27 ล้านบาท

โดย NUSA จะออกหุ้นสามัญจำนวน 13,053.64 ล้านหุ้น หรือ 49.98% ของทุนจดทะเบียน เสนอขายในราคาหุ้นละ 90 สตางค์ แลกกับหุ้น WEH ในอัตราส่วน 1 หุ้น WEH ต่อหุ้น NUSA 450 หุ้น ผู้ขายหุ้น WEH คือ บริษัท ธนา พาวเวอร์ วัน จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดย “กลุ่มนายประเดช”

ทั้งนี้ การแลกหุ้นครั้งนั้นทำให้ NUSA ถือหุ้น WEH ในสัดส่วนเพิ่มเป็น 34.73% ของทุนจดทะเบียน จากเดิมที่ถือไว้ 2.08% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ส่วน WEH จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 สัดส่วน 49.98% ของทุนจดทะเบียนใน ถ้ารวมกับธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง ที่ถือหุ้น NUSA อยู่เดิม 24.98% ของทุนจดทะเบียน และรวมกลุ่มนายประเดช ที่ถืออยู่เกือบ 20% เครือข่ายในประเดช จะถือหุ้น NUSA ประมาณเกือบ 80% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งใน NUSA WEH และบริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO

ความสัมพันธ์ระหว่าง “กลุ่มประเดช และ “กลุ่มเทพเจริญ” นับตั้งแต่กลุ่มประเดชเข้ามาทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นกลมเกลียว ไม่เคยมีธุรกรรมใดที่นำไปสู่ความขัดแย้ง แม้จะมีประเด็นเกิดขึ้นให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  (ก.ล.ต.)  ชี้แจงปมที่น่าสงสัยในช่วงที่ผ่านมาก็ตามแต่ก็ไม่กระทบความสัมพันธ์ลงได้...

แต่แล้วความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างกลุ่มประเดชกับกลุ่มเทพเจริญ ต้องขาดสะบั้น เพราะมติคณะกรรมการ NUSA เมื่อต้นเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นการขอตั้งกรรมการจาก ฝั่ง “ประเดช” ที่เข้ามาถือหุ้นใหญ่ แต่ถูกสกัดกั้นจาก “กลุ่มวิษณุ” และรุนแรงหนัก จนบานปลายแตกหัก เมื่อบอร์ด NUSA มีมติอนุมัติให้ขายทรัพย์สินล็อตใหญ่ 6 รายการ และรวมเอาหุ้น WEH มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทไปขายด้วย 

ประกอบด้วย 

1.ที่ดินที่ตำบลบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื้อที่ 5-2-71 ไร่ มูลค่าทางบัญชี 557.99 ล้านบาท

2.ที่ดินที่ตำบลป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่ 75-2-81.8 ไร่ มูลค่าทางบัญชี 339.01 ล้านบาท

3.สนามกอล์ฟ มายโอโซน ต.วังไทร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เนื้อที่ 362-1-62 ไร่ มูลค่าทางบัญชี 420.99 ล้านบาท

4.โครงการเลเจนด์ ณุศา มันนี่ และชีวานี พัทยา จ.ชลบุรี เนื้อที่ 273-3-77.1 ไร่ มูลค่าทางบัญชี 845.36 ล้านบาท

5. หุ้นบริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ( WEH) จำนวน 7,748,294 หุ้น มูลค่าทางบัญชี 3,373.37 ล้านบาท

6.หุ้นบริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) ( DEMCO) จำนวน 170,000,000 หุ้น  มูลค่าทางบัญชี 856.53 ล้านบาท

ซึ่งทรัพย์สินรายการที่ 4 ราคาประเมินจากบุคคลภายนอก มีมูลค่าประมาณ 5,105 ล้านบาท เท่ากับทรัพย์สินที่บอร์ด NUSA อนุมัติขายทั้ง 6 รายการ จะมีมูลค่ารวมกันราวๆ 10,652 ล้านบาท หรือเกือบ 70% ของทรัพย์สินทั้งหมด ที่มีอยู่ 16,046 ล้านบาท ตามงบการเงิน สิ้นสุด 30 ก.ย. 2566

ซึ่งก็เป็นความน่าสงสัย ที่ชวนให้นักลงทุนที่ถือหุ้น NUSA ทุกคน ควรจะต้องสงสัย เพราะเป็นมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 12/2566 ลงวันที่ 7 ธ.ค. 2566 แต่เมื่อตรวจสอบในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไม่ปรากฎสารสนเทศมติดังกล่าว รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทุกคนรับทราบ และไม่มีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น 

ทำให้บริษัท ธนา พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น แต่ได้รับการปฏิเสธกลายๆ จากคณะกรรมการบริหารบริษัท โดยอ้างว่ายังขาดรายละเอียดที่จำเป็นในการพิจารณาดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535

ทำให้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 “ประเดช กิตติอิสรานนท์” และพวก รวม 6 คน ยื่นฟ้อง NUSA และกรรมการที่เหลือ 7 คน ที่มอบอำนาจให้กรรมการบริหาร จำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทรวม 6 รายการ คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท โดยไม่มีอำนาจและแผนรองรับที่ชัดเจน เป็นการละเมิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ พร้อมทั้งขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติขายทรัพย์สินดังกล่าว เพื่อให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้พิจารณา  ซึ่งกรรมการ 7 คนที่ถูกฟ้อง ประกอบด้วย

1.นายวิษณุ เทพเจริญ

2.นายสมพิจิตร ชัยชนะจารักษ์

3.นางศิริญา เทพเจริญ

4.นายสมคิด ศริ

5.นางสิรินงคร์นาถ เพรียวพานิช

6.นายพิบูลย์ วรวรรณปรีชา

7.นายธีรธัช โปษยานนท์

และเมื่อ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา “ประเดช กิตติอิสรานนท์” ออกมากดดันเพิ่ม ด้วยการส่งตัวแทนในนามกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย NUSA มาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ตรวจสอบคณะกรรมการ NUSA เพราะอาจมีการบริหารงานไม่โปร่งใส จนทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท และทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับความเสียหาย อาจจะเดินตามรอย บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK หรือไม่

ขณะที่ “วิษณุและนางศิริญา เทพเจริญ” 2 ผู้บริหาร NUSA ออกมาแถลงชี้แจง ระบุว่าการขายทรัพย์สิน เพื่อลดภาระหนี้สิน และเป็นการเสนอวาระพิจารณาการจำหน่ายทรัพย์สิน เป็นเพียงการเสนอเพื่อขออนุมัติหลักการ มิใช่การจำหน่ายในทางปฏิบัติ ดังนั้นการขายสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้ดำเนินการในการขาย ย่อมไม่เป็นการลิดรอนสิทธิของโจทก์ ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทแต่อย่างใด

นอกจากนี้ สินทรัพย์ทั้ง 6 รายการ ไม่ได้ขายยกล็อตใหญ่ทั้งหมด เป็นแค่การขออนุติหลักการ และเปิดรายการทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องและมีหนี้สินน้อย ที่พร้อมนำออกมาขาย โดยตั้งใจขายแค่ 1-2 รายการ เพื่อให้เพียงพอต่อการชำระหนี้ที่ครบกำหนดในปี 2567 เท่านั้น ซึ่งมูลค่าไม่ถึง 50% ของทรัพย์สินทั้งหมด ที่มีกว่า 16,000 ล้านบาท หรือไม่ถึง 8,000 ล้านบาท จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ

พร้อมกันนี้ เตรียมจะดำเนินการฟ้องกลับนายประเดช ทั้งแพ่งและอาญา เนื่องจากทำให้ชื่อเสียงของบริษัท และผู้บริหาร เสียหาย จากการบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว

ดังนั้น ปมความขัดแย้งระหว่าง “กลุ่มวิษณุ เทพเจริญ” ผู้ก่อตั้ง NUSA กับ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” ที่เพิ่งเข้ามาถือหุ้นใหญ่ จะจบลงอย่างไร ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามในปี 2567......