วิกฤติทะเลแดงยื้อเยื้อ ผลกระทบ "เดินเรือถึงน้ำมัน "

วิกฤติทะเลแดงยื้อเยื้อ ผลกระทบ "เดินเรือถึงน้ำมัน "

ความคืบหน้าทะเลแดงที่กลุ่มติดอาวุธฮูตี ในเยเมนได้รับการหนุนหลังจากอิหร่าน โจมตีเรือบรรทุกสินค้านานาประเทศเพื่อกดดันอิสราเอล ยุติการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา กลับเป็นการเหตุการณสร้างความกังวลทั้งสัปดาห์จนมีผลต่อราคาสินค้าโภคในที่สุด

โดยมีผลอันดับแรกคือค่าระวางเรือที่รายใหญ่ของโลกนำโดย เมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือรายใหญ่สัญชาติเดนมาร์กตัดสินใจระงับการเดินเรือผ่านช่องแคบบับเอลมันเดบ ซึ่งเชื่อมระหว่างทะเลแดงกับอ่าวเอเดน หลังจากเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทได้ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน

      รวมทั้งรายใหญ่อื่นๆ  เช่น Evergreen ได้เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเพื่อหลีกเลี่ยงทะเลแดง ในบรรดาบริษัทพลังงาน บริษัทก๊าซยักษ์ใหญ่ของนอร์เวย์ Equinor ก็ได้เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเช่นกัน ในขณะที่ BP กลายเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่รายแรกที่หยุดการขนส่งทั้งหมดผ่านทะเลแดง

ค่าอัตราค่าระวางเรือพุ่งทะยานขึ้นแตะ 10,000 ดอลลาร์สำหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตที่เดินทางจากนครเซี่ยงไฮ้ของจีนไปยังอังกฤษ  และอัตราค่าระวางเรืออยู่ที่ 1,900 ดลลาร์สำหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต และ 2,400 ดอลลาร์สำหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ส่วนอัตราค่าขนส่งผ่านรถบรรทุกในภูมิภาคตะวันออกกลางในปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็นที่เรียบร้อย

      ปัจจุบันแม้ว่าเมอส์กได้ตัดสินใจที่จะกลับมาเดินเรือขนส่งผ่านทะเลแดงอีกครั้ง หลังจากสหรัฐและชาติพันธมิตรอีกกว่า 10 ประเทศประกาศเปิดตัวปฏิบัติการผู้พิทักษ์ความเจริญรุ่งเรือง (Operation Prosperity Guardian) โดยมีเป้าหมายปกป้องเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดงแต่ผลกระทบยังไม่หมดไป

      บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์  (ประเทศไทย) ระบุว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นในทะเลแดงที่กระทบการขนส่งน้ามัน คาดว่า "ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผลิตภัณฑ์น้ำมันจะมีมากกว่าน้ำมันดิบ"  เนื่องจากน้ำมันดิบจากรัสเซียที่ส่งไปยังอินเดียและจีนจะถูกทดแทนได้ง่ายกว่าผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ยุโรปนำเข้าจากเอเชียและตะวันออกกลาง จะส่งผลบวกต่อ GRMมากกว่าราคาน้ำมันดิบ

ทั้งนี้ประมาณ 8% ของน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันทั่วโลก และ 4-8% ของผลิตภัณฑ์ LNG ใช้เส้นทางเดินเรือผ่านทะเลแดงในการขนส่ง ซึ่งการโจมตีดังกล่าวทำให้เกิดต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม ตัวอย่างเช่น ค่าประกันเพิ่มขึ้น 10 เท่าเป็น 0.5-0.7% ของมูลค่าเรือจากเพียง 0.07%

       ขณะที่เรือที่แล่นผ่านเส้นทางที่ยาวกว่า (แหลมกู๊ดโฮปแทนที่จะผ่านคลองสุเอซ) ก็ใช้เวลานานกว่าและต้องเสียค่าเช่าเหมาลำเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ต้นทุนทางอ้อม ได้แก่ การขนส่งที่ไม่มีประสิทธิภาพและปริมาณการส่งน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากตะวันออกกลางและอินเดียไปยังยุโรป และน้ำมันดิบจากรัสเซียไปยังจีนและอินเดียราคาก๊าซทั่วโลกยังคงลดลง

      ด้านราคาก๊าซธรรมชาติเป็นทิศทางตรงข้ามเนื่องจากคาดการณ์มีทิศทางปรับลงต่อเนื่องจากอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในฤดูหนาวนี้ จากข้อมูลของโคเปอร์นิคัส เดือน พ.ย.2566 เป็นเดือนพ.ย.ที่อบอุ่นที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 2483)

     โดยในปี 2566 สภาพอากาศอบอุ่นทำลายสถิติถึงหกเดือน ซึ่งอาจทำให้ความต้องการใช้ลดลงและการจัดเก็บก๊าซทั้งในยุโรปและสหรัฐที่อยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ ปริมาณการจัดเก็บก๊าซของยุโรปยังคงใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในช่วงเวลานี้ของปี อยู่ที่ 99 Bcf สูงกว่าระดับปีที่แล้ว 10% ส่วนที่สหรัฐ ปริมาณการจัดเก็บก๊าซอยู่ที่ 3,664 Bcf หรือ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีในช่วงเวลานี้ของปีอยู่ประมาณ 7.6%

     ราคา spot LGN ของเอเชีย (JKM) ลดลงต่ำกว่า 12 ดอลลาร์/mmbtu ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งลดลงจากระดับกว่า 40 ดอลลาร์/mmbtu ในช่วงต้นปี ขณะเดียวกัน ราคาก๊าซธรรมชาติ (TTF) อ้างอิงของยุโรปก็ลดลงเหลือ 34ยูโร/MWh (ประมาณ 11 ดอลลาร์/mmbtu) จากมากกว่า 80 ยูโร/MWh เมื่อต้นปีนี้ ส่วนราคาในสหรัฐอเมริกา (Henry Hub) ปรับฐานเป็น 2.4 ดอลลาร์/mmbtu น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของระดับต้นปี

      สุดท้าย Spread ของ HDPE/PP –Naphtha อยู่ที่300 ดอลลาร์/ตัน ต่ำกว่าระดับต้นทุนแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่มีการปิดซ่อมบำรุงมองเป็นลบต่อกลุ่มนี้