เขย่า SET50 - SET100 ชุดใหม่ 'DELTA' จ่อหลุดทุกดัชนี

เขย่า SET50 - SET100 ชุดใหม่   'DELTA' จ่อหลุดทุกดัชนี

ปลายปีการปรับน้ำหนักลงทุนในหลายดัชนี กลับมามีผลต่อการลงทุนในหุ้นรายตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะดัชนีสำคัญที่ใช้อ้างอิงการลงทุนทั้ง ดัชนี MSCI ที่กองทุนต่างประเทศใช้ลงทุนสำหรับหุ้นไทย รวมทั้งดัชนี SET50 และ SET100 ที่จะมีการปรับน้ำหนักหุ้นรายตัวเช่นกันกลางเดือนธ.ค.

      ดัชนี SET50 และ SET100 จะปรับน้ำหนักหุ้นรายตัวเพื่อใช้ในรอบครึ่งแรกปี 2567( ม.ค.–มิ.ย.) จึงมีการคาดการณ์ว่าหุ้นไหนจะออก และได้เข้าไปคำนวณ ซึ่งมีผลต่อดัชนีหุ้นไทย ยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีหุ้นที่ทำดัชนีได้อย่าง DELTA เข้ามามีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยส่งผลทำให้การปรับน้ำหนักในรอบนี้ทำให้หุ้นปรับตัวได้แรงหรือปรับตัวได้เช่นกัน

     ก่อนหน้านี้ดัชนี MSCI Rebalancing ประกาศหุ้นชุดใหม่มีผลจากราคาปิด 30 พ.ย.2566 ที่ผ่านมา  โดย MSCI Global Standard Index ไม่มีหุ้นเข้าใหม่ แต่มีหุ้นถูกคัดออก คือ BGRIM,EGCO, RATCH  ดัชนี  MSCI Small cap Index มีหุ้นถูกคัดเข้าคือ BGRIM,EGCO, RATCH และหุ้นถูกคัดออกคือ ACE, ASK,KEX, ONEE,RAM, SABUY, TTA, TFG, VIBHA

การซื้อขายช่วงดังกล่าวทะลุ 7 หมื่นล้านบาท จากที่มูลค่าการซื้อขายบางบางไม่ถึง 40,000 ล้านบาทต่อวัน  โดยมีมูลค่าซื้อขายรวม 77,335.39 ล้านบาท เป็นผู้ลงทุนต่างชาติราว 53,003 ล้านบาท (68.54%) และผู้ลงทุนในประเทศ 15,571 ล้านบาท (20.13%) ซึ่งเป็นวันที่มีการทำ MSCI Rebalancing และการปรับสัดส่วนการถือครองหุ้นโดยต่างชาติ

       สะท้อนให้เห็นได้ว่าการเขย่าดัชนีมีผลต่อตลาดหุ้นไม่น้อย และยังเป็นการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่มีโอกาสเข้าคำนวณดัชนีจากเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนนั้นเอง

       การคัดหุ้นวัดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการคำนวณดัชนี (Full Market Capitalization)    ประกอบด้วย  Market Capitalization, ValueTrade, Turnover ratio, Free Float เป็นต้น และเกณฑ์เชิงคุณภาพ (Quantitative) เช่น ไม่เข้าข่ายถูกเพิกถอน ไม่ถูกสั่งพักการซื้อขาย หรือมีปัญหาด้านงบการเงิน เป็นต้น เป็นการใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วยสัดส่วนผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อยในการคำนวณดัชนี (Free Float Adjusted MarketCapitalization) สำหรับทุกดัชนี

กรณี DELTA  ที่มีมาร์เก็ตแคปอันดับ 1 ในตลาดหุ้นไทย 9.6 แสนล้านบาท (1 ธ.ค.2566 ) ผ่านคุณสมบัติแต่ประเด็น Turnover ratio ต่ำกว่า 2 % มักจะเข้ามากดดันในทุกรอบที่ปรับน้ำหนักลงทุนในรอบนี้เช่นเดียวกัน

      บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้   ระบุให้ติดตามวอลุ่มการซื้อขายหุ้น DELTA ซึ่งจะมีสัดส่วนต่อการดำรงอยู่ของตัวหุ้นในดัชนีสำคัญ อย่าง SET50 และ SET100 ในรอบถัดไป ทั้งที่หากใช้ข้อมูลล่าสุดจนถึงสิ้นเดือน พ.ย. จะพบว่าการที่ DELTA จะดำรงอยู่ต่อได้จะต้องมีปริมาณหุ้นซื้อขายราว 22.5 ล้านหุ้น เพื่อจะทำให้ Turnover ratio  ของเดือนพ.ย. 2566 ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับ 2%

      หากเทียบเคียงกับปริมาณหุ้นที่ซื้อขายช่วงวันที่ 29 พ.ย.2566 ที่ 18.3 ล้านหุ้น และช่วงการปรับตะกร้าลงทุนของหุ้นในดัชนี MSCI ที่ DELTA เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อขายของหุ้นในช่วง ATC ก้าวกระโดดขึ้นมาได้  ปรากฏวันที่ 30 พ.ย.ปริมาณการซื้อขายหุ้นอยู่ที่ 20 ล้านหุ้น

     ดังนั้นหากสุดท้าย DELTA มีระดับ Turnover ratio  เดือนนี้ไม่ถึง 2%  คาดมีความเสี่ยงสูงที่หุ้นจะถูกถอดออกจากดัชนี SET50-SET100 ในรอบถัดไป ไม่นับรวมกับดัชนี SETESG  ที่ถูกถอดออกแน่นอนแล้ว  ซึ่งอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ไถ่ถอนเงินลงทุนออกจากตัวหุ้นในช่วงถัดไปได้ โดยเฉพาะจากกองทุน Index fund /Passive fund ในไทย

      ทางกลับกันหากสุดท้ายแล้ว Turnover ratio  ขึ้นมายืนเหนือที่ระดับ 2% ได้ คาดว่าจะเริ่มเห็นแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาในหุ้นตัวนี้ได้บ้าง ซึ่งก็อาจกลายเป็นแรงส่งทางอ้อมต่อตัวดัชนี SET ในช่วงถัดไป

      ทั้งนี้ในส่วนของหุ้นที่มีลุ้นถูกนำไปเข้าสู่ดัชนี SET 50 ในรอบถัดไปหาก DELTA หลุดออก ได้ประเมินว่าหุ้น BCP จะเข้าคำนวณเป็นลำดับที่ 3 ต่อจาก KCE และ ITL ซึ่งเป็นหุ้นที่ถูกคาดการณ์หลักรอไว้อยู่แล้ว ส่วนทางด้านดัชนี SET 100 คาดว่าจะเป็นหุ้น AH ที่ได้รับอานิสงส์เข้าสู่ดัชนีในรอบถัดไปแทน

     บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองแรงหนุนเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 แบบ Selective   โดยคาดหุ้นเข้าคำนวณ SET50 รอบใหม่ ได้แก่ KCE, ITC และ JMT ส่วนหุ้นเข้าคำนวณ SET100ได้แก่ BA SISB SAPPE ICHI MOSHI SC TKN JAS อย่างไรก็ตามมองการที่ DELTA จะหลุดจากการคำนวณ จะเป็นแรงกดดันต่อดัชนี ในระยะสั้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์