2 เซียนหุ้น เปิดธีมลงทุนปีมังกร จับตาอภิมหาเมกะโปรเจกต์รัฐ หนุนหุ้นไทยฟื้น

2 เซียนหุ้น เปิดธีมลงทุนปีมังกร จับตาอภิมหาเมกะโปรเจกต์รัฐ หนุนหุ้นไทยฟื้น

2 เซียนหุ้น เปิดธีมลงทุนปีมังกร จับตาอภิมหาเมกะโปรเจกต์รัฐ หนุนหุ้นไทยฟื้น "เสี่ยป๋อง" เผยหุ้นรับเหมารับประโยชน์เมกะโปรเจกต์ หลังกระทรวงคมนาคมลงทุน 5.7 แสนล้านบาท ด้าน "เบิร์ท - มานิตย์" ชี้ปีหน้า ทองคำ คริปโตฯ มาแรง

ตลาดหุ้นไทยปีนี้ดูจะไม่ค่อยสดใสมากนัก แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะสามารถพลิกฟื้นกลับขึ้นมาได้ แต่ตลาดหุ้นไทยเองกลับดิ่งลงเรื่อย ๆ หรือติดลบกว่า 17% จากมรสุมหลายปัจจัยเข้ามากระทบ โดยเฉพาะช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา กับกระแสโรบอทเทรดดิ้ง และเน็กเก็ตชอร์ต ที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนไทยค่อนข้างมาก

เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่ด้านเทคนิค และเจ้าของพอร์ตลงทุนหลักแสนล้านบาท กล่าวในงาน LIB Talks Finale 2023 จัดโดย บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้ลงทุนค่อนข้างลำบาก จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยติดลบอยู่ประมาณ 17% โดยคาดหวังว่า ในปีหน้าจีดีพีจะเติบโตได้ราวประมาณกว่า 3% หากทุกอย่างดีขึ้นรัฐบาลมีนโบายออกมาได้อย่างชัดเจน เพราะทุกคนคาดหวังดิจิทัลวอเล็ตในปีหน้า รวมถึงเมกะโปรเจ็กต์ที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการใหญ่ แลนด์บริดจ์ และล่าสุดกระทรวงคมนาคมจะออกเมกะโปรเจกต์อีกประมาณ 5.7 แสนล้านบาท อาจจะเป็นโอกาสของหุ้นกลุ่มรับเหมาได้บ้าง 

อย่างไรก็ตาม ด้านเทคนิกคอลเริ่มเห็นสัญญาณไม่ค่อยดีนัก หากปีหน้า SET ต่ำกว่า 1,400 จุด อาจจะเป็นสัญญาณร้าย ซึ่งกลัวว่าจะคล้ายเหมือนช่วงต้มยำกุ้ง 

ทั้งนี้ ส่วนตัวปีหน้าอาจมีการปรับกลยุทธการลงทุนใหม่ โดยการลงทุนถือยาวมากขึ้น โดยเน้นเป็น investor มากขึ้น และอาจจะลดวอลุ่มเทรดลง โดยในปีนี้เริ่มเทรดน้อยลงแล้ว จากที่เคยเทรดอยู่ปีละ 1.4 แสนล้านบาท ปัจจุบันลดลงมาที่ 5 หมื่นล้านบาท โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากกระแสโรบอทเทรดดิ้ง ส่งผลให้ขาดทุนไปกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งในปีหน้าอาจจะมีการปรับกลยุทธการลงทุนใหม่เน้นลงทุนระยะยาวมากขึ้น ทั้งนี้ โรบอทเทรดใน 1 วินาทีสามารถส่งได้ประมาณ 13 ออเดอร์พร้อมกัน ซึ่งถือว่ายากมากที่มนุษย์จะสามารถต้านทานได้ 

“ประเมินตัวเองแล้วว่า ต้องมีการปรับตัวอย่างแรง โอกาสที่เราจะสู้กับสิ่งที่เรามองไม่เห็น โรบอทเก่งกว่าเรา มันยากที่จะทำกำไรได้ โดยในปีหน้าอาจจะลดวอลุ่มเทรดลงอยู่ที่ 1 -2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น และผันตัวเองไปลงทุนระยะยาวมากขึ้น แต่ยังคงเน้นลงทุนในหุ้นไทย 90% และหุ้นต่างประเทศ 10%” 

เบิร์ท - มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์ นักลงทุนเจ้าของเพจ Bert Manit ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเงียบเหงา แต่คาดว่าอาจจะมีโอกาสกลับมาคึกคักได้ โดยอาศัยการผลักดันจากรัฐบาลกับนโยบายต่าง ๆ แต่เชื่อว่า ภาครัฐเองน่าจะมีการเข้ามาสนับสนุนในกับทางตลาดหุ้นไทย ล่าสุดมีการเข้ามาสนับสนุนกองทุน thai esg อาจจะมีเม็ดเงินเข้ามาได้บ้างแม้จะไม่ได้สูงมากนัก อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอดูต่อไปว่า จะมีกองทุนอะไรออกมาอีกบ้าง หรือมีการส่งเสริมตลาดหุ้นไทยได้อย่างไรบ้าง เพราะเชื่อมั่นว่า รัฐบาลต้องการที่จะส่งเสริมตลาดหุ้นไทย 

ส่วนการกลยุทธการลงทุน อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง หลักจากที่มีโรบอทเข้ามาเทรด ทำให้ที่ผ่านมาค่อนข้างเทรดยากมากขึ้น โดยมีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศบ้าง และอาจจะหันมาเป็น investor มากขึ้น ลงทุนระยะยาวมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันส่วนใหญ่เน้นลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นค่อนข้างยากมาก

"กลยุทธในการลงทุน คงต้องปรับตัวจากที่ลงทุนเน้นระยะสั้นปัจจุบันทำได้ค่อนข้างยากขึ้น แนะนำว่าควรเลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีและลงทุนระยะยาว หรือเน้นลงทุนแบบ VI มีโอกาสที่ราคาปรับขึ้นได้"

โดยในปีหน้าธีมการลงทุนที่น่าสนใจ คือ ทองคำ หลังจากที่เมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.66) เริ่มทำนิวไฮอีกครั้ง ปีหน้าจึงคาดว่าอาจจะมีข่าวดีเกี่ยวกับทองคำได้ ส่วนอีกธีมคือ คริปโตฯ ซึ่งคาดว่า บิทคอยน์จะเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving อีกครั้ง ส่วนหุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมคริปโตฯ จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตฯ ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาให้รอบครอบด้วย พยายามศึกษาปัจจัยพื้นฐานให้ดีด้วย 

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยติดลบในรอบหลาย ๆ ปี ยิ่งช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/66 งบดีกว่าคาด แต่ราคากลับลดลงมา รวมถึงมีกระแสข่าวเน็กเก็ตชอร์ต ซึ่งไม่คาดว่าจะมีมากขนาดนี้ ทำให้มีการปรับวอลุ่มเทรดลดลงมา  

นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า วอลุ่มการเทรดในปีนี้หายไปค่อนข้างมาก จากก่อนหน้าเคยมีวอลุ่มเทรดอยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท เนื่องจากสภาพคล่อง โดยต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกไปกว่า 2 แสนล้านบาท ส่งผลให้โอกาสทำกำไรไม่ค่อยมี    

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยซบเซา มองว่ายังมีโอกาสให้ได้เจ็บทำกำไรได้บ้างในช่วงที่มีอีเว้นท์ต่าง ๆ อย่างช่วง ก่อนช่วงเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง เป็นต้น