ปีหน้า 'หุ้นกู้' ครบกำหนด '1ล้านล้าน' บจ.กลาง - เล็กเสี่ยงล้มละลาย

ปีหน้า 'หุ้นกู้' ครบกำหนด '1ล้านล้าน' บจ.กลาง - เล็กเสี่ยงล้มละลาย

"กวี ชูกิจเกษม" เผย "หุ้นกู้เอกชน"ปีหน้าครบกำหนด "1 ล้านล้าน" คาด บจ.ขนาดกลาง - เล็ก เสี่ยงระดมทุนยาก อาจล้มละลาย มองหุ้นไทยยังเป็นขาลงถึงกลางปี 67 คาดดัชนีแตะ 1,200 จุด มองเป็นจังหวะทยอยซื้อหุ้นใหญ่พื้นฐานดี เหตุเชื่อครึ่งปีหลังดัชนีรีบาวด์ ลุ้นแตะ 1,600 จุด

นายกวี ชูกิจเกษม Head Research and Content บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีหน้าคาดว่าครึ่งปีแรกดัชนีหุ้นไทยจะยังคงเป็นขาลง มีโอกาสที่ดัชนีจะไปแตะระดับ 1,200 จุด เนื่องจาก เศรษฐกิจโลกไม่ดี อัตราดอกเบี้ยพีคแล้ว และยังอยู่ในระดับสูงต่อ ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะมีการปรับตัวลงเมื่อไร ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงกดดันให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวลำบาก

ทั้งนี้ในส่วนของเศรษฐกิจไทยถือว่ามีความแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพ มีทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูง หนี้รัฐบาล และหนี้ของภาคเอกชนก็ไม่มาก ขณะที่ภาคส่งออกของไทยก็ยังคงประคองให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้ แต่ก็คงยากที่เศรษฐกิจจะโตได้เกิน 3% และด้วยดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงนั้นจะกดดันการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)

ดังนั้นเมื่อดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวลงมานั้น มองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปทยอยสะสมหุ้น เพราะส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีที่ปรับตัวลงมาจะเป็นการปรับตัวลงรอบสุดท้าย เพราะเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และมีทิศทางที่จะฟื้นตัว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวลดลง จะหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวได้ โดยมองเป้าดัชนีสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,700 จุด

“จะเห็นได้ว่าปัจจัยเสี่ยงในปีหน้ามีจำนวนมาก ที่กดดันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงในช่วงครึ่งปีแรก แต่มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้น ไม่ใช่จุดที่นักลงทุนต้องกลัวแล้ว”

นายกวี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในภาคตลาดทุนไทยก็ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับตลาดหุ้นกู้เอกชนในปีหน้าที่จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดรวมมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาท ที่จะต้องมีการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด (โรลโอเวอร์) หรือรีไฟแนนซ์จำนวนมาก และจากนโยบายรัฐบาลในการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งหากมีการออกพันธบัตรรัฐบาลออกมาอีก 5.6 แสนล้านบาท นั้นก็จะทำให้ดึงเม็ดเงินจากตลาดออกไป โดยจะกระทบบริษัทขนาดเล็ก และขนาดกลางทำให้โรลโอเวอร์หุ้นกู้ หรือรีไฟแนนซ์ ทำได้ยาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะล้มละลายในปีหน้า

ดังนั้นการลงทุนหุ้นปีหน้า นักลงทุนควรเลี่ยงหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีหนี้จำนวนมาก สภาพคล่องไม่ดี ซึ่งจะทำให้ปีหน้าจะมีการควบรวมกิจการจำนวนมากของบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ส่วนตัวแนะนำลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตตามเศรษฐกิจ หรือบริษัทที่มีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หรือมีรายได้จากต่างประเทศ หรือจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

สำหรับหุ้นที่แนะนำในการลงทุนปีหน้าคือ กลุ่มเฮลท์แคร์ ท่องเที่ยว บริการ ค้าปลีก ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจอีวี โลจิสติกส์ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และกลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่สามารถถือลงทุนระยะยาวได้ โดยหุ้นแนะนำคือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL), บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO),บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ,บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN),บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM), บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT),บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA), บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)

“ส่วนดัชนีหุ้นไทยปีนี้ เป็นไปตามที่ส่วนตัวคาดการณ์ไว้ โดยดัชนีปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ1,400 จุด ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยลงมาต่อเนื่อง แต่ตอนนั้นพอร์ตลงทุนไม่ได้ขาดทุน แม้จะขาดทุนหุ้นแต่พอไม่ได้ขายเพราะลงทุนยะยาว ซึ่งก็ยังคงได้เงินปันผล”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์