ดาวโจนส์ร่วงกว่า 100 จุด นลท.จับตาผลประกอบการบ.จดทะเบียน

ดาวโจนส์ร่วงกว่า 100 จุด นลท.จับตาผลประกอบการบ.จดทะเบียน

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(25ต.ค.)ปรับตัวลงกว่า 100 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หลังดัชนีแนสแด็กดิ่งลง 1.51% โดยถูกกดดันจากการทรุดตัวของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 105.45 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 33,035.93 จุด
  • ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 60.91 จุด หรือ 1.43% ปิดที่ 4,186.77 จุด
  • ดัชนีแนสแด็ก ลดลง 318.65 จุด หรือ 2.43% ปิดที่ 12,821.22 จุด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 105.45 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 33,035.93 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 60.91 จุด หรือ 1.43% ปิดที่ 4,186.77 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 318.65 จุด หรือ 2.43% ปิดที่ 12,821.22 จุด

นอกจากนี้ ดัชนีแนสแด็กยังดิ่งลง 1.51% โดยถูกกดดันจากการทรุดตัวของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี

ราคาหุ้นของบริษัท อัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลงกว่า 8% เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังรายได้จากธุรกิจคลาวด์ที่ต่ำกว่าคาด แม้บริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3/2566 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์

ราคาหุ้นของบริษัท เมตา แพลตฟอร์ม อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม (IG) ร่วงลง 2% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการหลังปิดตลาดวันนี้

นอกจากนี้ ราคาหุ้นของเมตาถูกกดดัน หลังจากที่อัยการสูงสุดจาก 42 รัฐทั่วสหรัฐได้รวมตัวกันฟ้องบริษัทในข้อหามอมเมาเยาวชนในการใช้เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม (IG) จนทำให้มีการเสพติดโซเชียลมีเดีย

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของบริษัทไมโครซอฟท์พุ่งขึ้นกว่า 2% ขานรับผลกระกอบการที่สดใส

บริษัท 29% ในดัชนี S&P 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 3 แล้ว โดยบริษัทราว 78% จากจำนวนดังกล่าว มีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2566 ในวันพรุ่งนี้

อย่างไรก็ดี แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และผลการสำรวจของนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท บ่งชี้ตัวเลขคาดการณ์ที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวสูงถึง 5.4% ในไตรมาส 3 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าขยายตัวเพียง 4.2%

ก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.2% และ 2.1% ในไตรมาส 1 และ 2 ตามลำดับ