SCB ลงอยู่และลงต่อ เผชิญแรงกดดัน "ตั้งสำรองฯ "

“SCB ลงไม่ยั้ง” “ เกิดอะไรขึ้น? “ “ ตามข่าวไม่ทันทำไหมลงแรง “ “ลงทีเดียว 5 บาทไม่ปกติแล้ว!” เก็บดีไหม ราคาเท่าไร” “ ใครขายลงหนักขนาดนี้ “
ข้อความในโลกโซเซียลดังต่อเนื่องหลังราคาหุ้น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ถูกไล่เทขายอย่างต่อเนื่องแต่หนักสุดคือการ “ตั้งใจมาขาย” วันที่ 22 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมาจนเกิดข้อกังขาถึงประเด็นและสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาแรงได้ขนาดนี้
เมื่อไล่ดูราคาหุ้น SCB มีการเทขายมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนก.ย. แต่ยังเป็นลักษณะค่อยๆริน ค่อยๆ ขายออกมา จากราคา 115 บาท (15 ก.ย.) จนวอลลุ่มพุ่งทะยานถึง 8,600 ล้านบาท ด้วยจำนวนหุ้นมีการซื้อขาย 84 ล้านหุ้น (22 ก.ย.) จนทำให้เริ่มเป็นที่สนใจจากราคาที่ร่วงลงไป 103.50 บาท
ปัจจุบัน (26 ก.ย.) ราคาหุ้นลงเป็นเทรนด์ปรับฐานลงลึก 101.50 บาท ก่อนจะมาปิดตลาดที่ 102 บาท ลดลง 1.50 บาท เปลี่ยนแปลง 1.45% รวมแล้วตลอดเดือนก.ย. ราคาหุ้น SCB ปรับตัวลดลง 16 บาท หรือ 13.5 %
เมื่อหุ้นแบงก์ใหญ่ลงมาแรงปัจจัยเข้ามากระทบตั้งแต่ "ข่าวที่คาดการณ์และเหนือคาดการณ์" ไม่ว่าจะเป็น การทำ Window Dressing ปิดงวดไตรมาส 3 ปี 2566 ของกองทุนทั้งในและต่างประเทศ โฟกัสไปที่ SET50 เป็นหลัก ซึ่งกลุ่มแบงก์ถือว่าปรับตัวน้อยกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินผลตอบแทนระหว่างไตรมาส (QTD) ของ SET50 ในช่วงไตรมาส 3 ยังเป็นบวกราว +1.6% ความจำเป็นในการทำ WindowDressing รอบนี้จึงน้อยลง อย่างไรก็ตามยังมีหุ้น MarketCap. ใหญ่หลายตัวที่ผลตอบแทนเป็นลบ QTD ซึ่งคาดว่ามีโอกาสถูกทำ WindowDressing ก่อนจบสัปดาห์นี้ เช่น AOT-2%, CPALL-2% , BDMS-5% ,SCC-4% ,SCB-3% ,KTB-3% , และ MINT -8% เป็นต้น
นอกจากปัจจัยนี้แล้ว “เจพีมอร์แกน” ทำเซอร์ไพร์สประกาศลดอันดับความน่าลงทุน SCB ลงสู่ "ลดน้ำหนักการลงทุน" (Underweight) จากเดิมที่ให้ "คงน้ำหนักการลงทุน" (Neutral) โดยระบุถึงปัจจัยลบจากการคาดการณ์ที่ว่า credit cost (ต้นทุนความเสี่ยงของสินเชื่อที่ไม่ได้รับการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย) ในปีนี้ จะสูงกว่าที่ธนาคารคาดการณ์ไว้ ในขณะที่ credit cost ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 1.84%
เจพีมอร์แกนได้ปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SCB ในปีงบการเงิน 2566 และ 2567 ลง 9% และ 4% ตามลำดับ เนื่องจาก credit cost ปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันเจพีมอร์แกนได้ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้น SCB ลงสู่ระดับ 98 บาท จากเป้าหมายเดิมที่ระดับ 110 บาท
การวิเคราะห์รอบนี้ยังระบุด้วยประเด็นน่าสนใจด้วย “ ระบบปฏิบัติการทางออนไลน์” ของ CardX ได้เกิดปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ในช่วงต้นปีนี้ อันเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นในขณะทำการอัปโหลดข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าเข้าสู่ระบบคลาวด์ ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และหมายเลขบัญชี ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลและการบริการด้านสินเชื่อ
“โดยปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเต็มรูปแบบ และคาดว่าจะยังคงส่งผลให้ธุรกิจของ SCB เติบโตช้าลง “ และอาจทำให้ CardX ต้องตั้งสำรองเงินทุนเพิ่มขึ้นอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เหตุการณ์เหล่านี้ได้นำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามารถของ SCB ในการจัดการกับธุรกิจใหม่ ๆ และการเปลี่ยนผ่านธุรกิจในปัจจุบันไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มและการใช้เครื่องมือด้านดิจิทัลที่ทันสมัย
เมื่อต่างชาติออกมาให้มุมมองแนวลบขนาดนี้ปรากฎ สวนทางกับโบรกเกอร์ไทย ที่ยังคงให้น้ำหนักลงทุนใน SCB โดย บล.เคจีไอ วิเคราะห์ธุรกิจ CARDX เน้นลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงในกลุ่ม Gen 2 และ 3 มียอดสินเชื่อคงค้าง 1.18 แสนล้านบาท หรือประมาณ 5% ของพอร์ตสินเชื่อ สัดส่วน NPL 5.2 % ในไตรมาส 2 ปี 2566 ซึ่ง CARDX ตั้งเป้า credit cost ที่ประมาณ 6-6.5 %
รวมทั้งยังสนับสนุนสินเชื่อผู้บริโภคอื่น ๆ AUTOX เพื่อเพิ่ม Yield สินเชื่อและมาร์จิ้นของพอร์ตสินเชื่อรวม ซึ่งแม้ว่า NPL และ credit cost ของ CARDX จะสูงขึ้นแค่ประเมินเป็นปัจจัยที่เกิดตามวัฎจักรในระยะสั้นเท่านั้น ในขณะที่การเติบโตระยะยาวยังเป้นไปตามคาด
นอกจากนี้ธนาคารบริหารจัดการความเสี่ยงและผลตอบแทนของสินเชื่อกลุ่มได้ดีขึ้น ดังนั้น credit cost ที่สูงขึ้นของสินเชื่อผู้บริโภคจึงยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อทั้งกลุ่ม ยังมีมุมมองราคาหุ้น 12 เดือน ที่ 130.00 บาท







