‘เฟทโก้’เชื่อหุ้นไทยขาขึ้น รับอานิสงส์รัฐกระตุ้นศก.

‘เฟทโก้’เชื่อหุ้นไทยขาขึ้น  รับอานิสงส์รัฐกระตุ้นศก.

“เฟทโก้” ดัชนีเชื่อมั่นลงทุน 3 เดือนข้างหน้าพุ่ง 63%  หลังจััดตั้งรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้น-มีเสถียรภาพ เมื่อเริ่มเคลื่อนนโยบาย ดึงฟันด์โฟลด์ไหลเข้า โบรกแนะทยอยสะสมหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นศก.

หลังจากการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว ทำให้นักลงทุนคลายกังวล ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย  สะท้อนจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) เดือนส.ค. 2566 (สำรวจระหว่างวันที่ 21–31 ส.ค.)  พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือนพ.ย.2566) อยู่ที่ 141.27 เพิ่มขึ้น 69.3% อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยว่า  จากรัฐบาลใหม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นไทย และทิศทางระยะข้างหน้ายังมีโอกาสที่ดัชนีปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆและมีเสถียรภาพมากขึ้น เมื่อรัฐบาลชุดใหม่ เริ่มขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคตลาดทุนไทยออกมา

รวมถึงแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ( ฟันด์โฟลว์)น่าจะทยอยไหลกลับมามากขึ้นได้ ตามสถานการณ์การเมืองในประเทศที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวล สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ตามมา แต่ฟันด์โฟลว์ยังมีความผันผวน เพราะผลกระทบเศรษฐกิจของจีนอ่อนแอลง และวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ซึ่งเป็นผลกระทบเชิงลบต่อฟันด์โฟลว์ที่เข้ามาในตลาดเกิดใหม่และเอเชีย

ขณะนี้ตลาดทุนไทย ยังรอติดตามรัฐบาลใหม่แถลงนโยบายขับเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนวันที่ 11 ก.ย.นี้ ซึ่งหากฝั่งทางการเมืองและหน่วยงานราชการสามารถเดินหน้าสอดประสานนโยบายกันได้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการดึดดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนโดยตรง (FDI) และเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย  ซึ่งหากรัฐบาลเร่งโครงการลงทุนที่อนุมัติไว้แล้ว จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนอีกรอบ

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า  เฟทโก้เตรียมแนวทางเพื่อรอหารือกับรัฐบาลใหม่และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ว่าจะเป็น บทบาทของตลาดทุนในการช่วยเคลื่อนเศรษฐกิจ ชุมชน เอสเอ็มอี และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวของนักลงทุน เช่น การจัดตั้งกองทุนการออมประหยัดภาษี ทดแทนกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)กำลังจะหมดอายุในปี 2567 และประเด็นเพิ่มเติมอื่นๆ ในการพัฒนาตลาดทุนไทย     

นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ร่างแถลงการณ์นโยบายการบริหารและพัฒนาประเทศของรัฐบาลใหม่สำหรับนโยบายในกรอบระยะสั้น มองมาตรการ Digital wallet และการพักหนี้ เป็นบวกกับกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, CRC และกลุ่มการเงิน เช่น TIDLOR, SAWAD, SAK ในการช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน

ขณะที่นโยบายช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน หากเป็นการลดค่าไฟให้กับประชาชนถือเป็นข่าวลบกับกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะกับโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่ขายให้กับภาคเอกชนและโรงงานอุตสาหกรรม เช่น BGRIM, GPSC

ด้านมาตรการลดราคาน้ำมันไม่ได้มีการแจกแจงวิธี แต่คาดว่าน่าจะเลือกวิธีการลดภาษีสรรพสามิตซึ่งเป็นวิธีที่จะไม่มีผลกระทบต่อค่าการตลาดของกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน เช่น  OR, PTG

ส่วนนโยบายด้านการท่องเที่ยว ดูเหมือนจะผิดจากที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเป็นการยกเว้นคือไม่ต้องขอวีซ่า แต่ในร่างนโยบายเป็นเพียงการปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่า ยกเว้นค่าธรรมเนียมและจัดทำ Fast Track VISA ดังนั้นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว เช่น AOT, ERW, BA มีโอกาสตอบสนองข่าวในเชิงลบ หากแถลงนโยบายจริงมีเพียงแค่มาตรการดังกล่าว

ดังนั้นแนะนำว่าอาจต้องรอติดตามผลประชุมครม.ในสัปดาห์หน้าว่า จะมีการพิจารณามาตรการเพิ่มเติมให้กับประเทศไหนเป็นพิเศษเช่น จีน และอินเดียหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากราคาย่อตัวลงมาสามารถทยอยเข้าสะสมหุ้นดังกล่าวได้