คัดมาให้! ‘หุ้นเด็ด’ ได้ประโยชน์จาก 10 นโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

คัดมาให้! ‘หุ้นเด็ด’ ได้ประโยชน์จาก 10 นโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

10 นโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย นักวิเคราะห์มองว่า นโยบายส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าทำได้ก็จะเป็นผลดี และหุ้นบางตัว บางกลุ่มอาจจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย

การเมืองชั่วโมงนี้คงมีความไม่แน่นอน โดยสถานการณ์ขณะนี้อยู่ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยดำเนินการรวบรวมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งดูเหมือนว่า ตลาดหุ้นไทยให้การตอบรับค่อนข้างดี ซึ่งมาจากประสบการณ์ในอดีตของพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับเศรษฐกิจ  

ฉะนั้นแล้ว 10 นโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยในอนาคตจึงถูกจับตาอย่างมาก โดยนักวิเคราะห์มองว่า นโยบายดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าทำได้ก็จะเป็นผลดี และหุ้นบางตัว บางกลุ่มอาจจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย 

ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยหลัก ๆ ด้านบวกมีความต้องการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตร ไม่ว่านำเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับผลผลิตที่มากขึ้น และมีประสิทธิภาพต่อการผลิตในพื้นที่ส่งผลดีมากขึ้นในยุคของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือว่า เป็นผลดีต่อการส่งออกในบ้านเรา ขณะที่นโยบายของเพื่อไทย ในเรื่องของการขยายสนามบินในการเข้ามาสนับสนุนในภาพของการท่องเที่ยวก็จะส่งผลดีต่อโรงแรม ดีต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดีต่อการท่องเที่ยว 

กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การโหวตนายก ครั้งที่ 3 ในวันที่ 27 ก.ค. นี้ จะเห็นถึงความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากความน่าจะเป็นการเมืองเหลือแค่ 2 ภาพใหญ่ ๆ คือ เพื่อไทยเป็นแกนนำขณะที่ก้าวไกลจะเป็นพรรคร่วมหรือจะเป็นฝ่ายค้าน 

 

สำหรับนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้มีดังนี้่ 

 

1.นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล เติมเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้ทุกคน วงเงิน 5.6 แสนล้านบาท ให้กับคนไทยทุกคนที่มาอายุ16 ปีขึ้นไป

ประกิต : ยังต้องติดตามเพราะต้องมีเจ้าภาพในการเข้ามาดำเนินการ ว่าบริษัทใดจะเป็นคนออกโทเคนดิจิทัล  และ 10,000 บาท จะไปหาเงินจากที่ไหน คาดว่าน่าจะยังทำไม่ได้ เพราะคนที่จะได้สิทธิประมาณ 50 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ 5 แสนล้านบาท 

กิจพณ : ทำให้มีการสร้างกำลังซื้ออย่างมหาศาล แต่เป็นลักษณะของการที่พยายามใช้เม็ดเงินจำนวนมากเพื่อดึงดูดธุรกิจ ชุมชนที่อยู่นอกฐานภาษียอมเข้ามาอยู่ในฐานภาษีเพื่อแลก แต่กำลังซื้อดังกล่าวจะไม่ได้ถูกใช้ผ่านบริษัทขนาดใหญ่สักเท่าไหร่

ดังนั้นในลักษณะอย่างนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่า ระหว่างการดำเนินนโยบายหรือกำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น โดยในระยะสั้นอาจจะมีผลกระทบกลับกลุ่มค้าปลีก ซึ่งหุ้น XPG มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับประโยชน์ เพราะมีความเป็นไปได้ที่ว่า สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาอาจจะเป็นระบบใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับของเป๋าตังที่มีอยู่เดิม ซึ่ง XPG เคยออกโทเคน SIRI อาจจะเป็นได้โยชน์จากมาตรการนี้ แต่จะได้ขนาดไหนยังไม่สามารถที่จะตอบได้ รวมถึงกลุ่มไฟแนนซ์ และจำนำทะเบียนรถ หรือกลุ่มเช่าซื้อ ก็น่าจะได้ผลดีตรงนี้

 

2. นโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน ส่วนเงินเดือนจบปริญญาตรีเริ่มต้น 25,000 บาท/เดือน ในปี 2570

ประกิต : เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำใช้ระยะเวลา 5 ปี แต่ต้องสอดคล้องไปกับการเติบโตเศรษฐกิจด้วย ต้องรอดูก่อนว่า เศรษฐกิจ 1 - 2 ปีแรกจะสามารถปรับขึ้นค่าแรงได้ในเรตเท่าไหร่ แต่คงขึ้่นช่วงแรกได้ไม่มาก ส่วน SME จะได้รับผลกระทบหรือไม่ ยังคงต้องติดตาม ว่าจะมีอะไรมาชดเชย

ฉะนั้นค่าแรงขั้นต่ำก็จะส่งเสริมดีกับหุ้นค้าปลีก CPALL กลับหุ้นกลุ่มสินเชื่อมีหลักประกันหรือ นอนแบงก์ อย่าง AEONTS SAWAD หรือ MTC เนื่องจากคนมีรายได้มากขึ้นเพราะประชาชนมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น 

กิจพณ : เป็นการเพิ่มกำลังซื้อกำลังซื้อของประชาชน กลุ่มที่ได้ประโยชน์จะเป็นค้าปลีก CPALL และ BJC 

 

3. รายได้ครัวเรือนไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน และสร้างรายได้ให้ความรู้ และ Soft Power 

ประกิต : จะไปสอดคล้องกับการเติบโตเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะมีการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็จะมาจากการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้คนมีรายได้มากขึ้นมีการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนหุ้นที่เกี่ยวกับอุปโภคบริโภคจะได้รับประโยชน์คือ CPALL CPN CRC รวมถึงอสังหาฯ คนก็จะสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น รวมถึงสินเชื่อรถยนต์ ลิสซิ่ง เป็นต้น 

กิจพณ : เป็นมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ หุ้นที่จะได้ประโยชน์คือกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภค CPALL และ BJC  เพราะถ้าครัวเรือนมีกำลังซื้อที่มากขึ้นการใช้จ่ายก็จะเข้ามาสะท้อนกำลังซื้อที่มากขึ้น 

 

4. แก้หนี้นอกระบบ 1.4 ล้านราย สร้างฟิโกไฟแนนซ์ส่งเสริมการกู้เงินในระบบ มีดอกเบี้ยต่ำประชาชนเข้าถึงง่าย

ประกิต : เป็นกระบวนการรีไฟแนนซ์ เพื่อพักชำระหนี้ต่าง ๆ และนำหนี้เข้ามาอยู่ในระบบ ไม่น่าที่จะกระทบกับกลุ่มลิสซิ่ง หรือกลุ่มสินเชื่อมีหลักประกัน ซึ่งหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จะเป็นกลุ่มแบงก์ และ KTC AEONTS 

กิจพณ : ยังต้องดูต่อไปว่า พรรคเพื่อไทยจะมีการใช้กลไกอย่างไรที่จะนำมาปรับแก้ไข ซึ่งต้องดูว่า การแก้หนี้แล้วจะให้สถาบันการเงินภาครัฐเป็นคนรับ หรือจะใช้สถาบันการเงินเอกชนเข้ามาช่วยในการเข้าปล่อยสินเชื่อในส่วนนี้ต่อหรือไม่ เพราะถ้ามีการเกิดปัญหาและไม่สามารถใช้คืนได้จริง ๆ ฉะนั้นนโยบายนี้ยังคงต้องตามดูในรายละเอียดเพิ่มเติม ว่าจะใช้สถาบันการเงินรัฐที่หลาย ๆ ครั้งชอบใช้อย่างออมสิน หรือกรุงไทย ช่วย หรือจะเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินเอกชนเข้ามาช่วย

 

5. แก้ปัญหาหนี้ SMEs 2.3 ล้านบัญชี มูลหนี้ 2 แสนล้านบาท เพิ่มการค้ำประกันวงเงินให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องมากขึ้น

ประกิต : ข้อนี้อาจจะกระทบกับธนาคารที่มีการปล่อยสินเชื่อ SME คงหนีไม่พ้นการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะไปดีกับภาพรวมเศรษฐกิจ SME ที่เป็นหนี้มาก เพราะอาจจะได้เรตอัตราดอกเบี่้ยที่ดีขึ้น หรือมีระยะเวลาในการชำระหนี้ที่นานขึ้น การจ้างงานอาจจะหมุนเวียนต่อไปได้ หรือมีการจ้างงานต่อไป หุ้นที่ได้ประโยชน์คือ อสังหา ค้าปลีก สินเชื่อต่างๆ 

กิจพณ : หุ้นที่ได้รับโยชน์จะเป็นสถาบันการเงิน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากหากดูย้อนหลังตั้งแต่ โควิด-19 เกิดขึ้นปี 63 เป็นต้นมา สินเชื่อของ SME มีการหดตัวลงมา และยังไม่สามารถกลับเพิ่มขึ้นมาได้ ฉะนั้นน่าจะมีการปรับเพิ่มสินเชื่อกลับเข้าไป แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงติดปัญหาอยู่ว่า ตราบใดที่ยังแก้หนี้เสีย หรือที่มีปัญหาไม่ได้การจะกลับมาปล่อยกู้ในหลาย ๆ ธุรกิจก็จะไม่สามารถเดินต่อไปได้ ซึ่งถ้าทำได้จริงก็จะเป็นผลดีกับสถาบันการเงิน KBANK SCB BBL ที่มีสัดส่วน SME ที่สูงก็จะได้จากมาตรการดังกล่าว

 

6. สนับสนุนธุรกิจสมัยใหม่ให้ลงทุนในไทย และสร้างแรงจูงใจทางภาษี เช่น ดิจิทัล เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีการแพทย์ และสร้างตลาดแรงงานรายได้สูง

ประกิต : ข้อนี้จะได้ในเรื่องของการลงทุนและการจ้างงาน เศรษฐกิจมีการหมุนต่อไปได้ ซึ่งกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมน่าจะได้รับประโยชน์ WHA  AMATA

กิจพณ : อาจจะไม่ได้มีเซกเตอร์หุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรงหรือมีความชัดเจน เพราะต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีธุรกิจไทยบางส่วนที่อาจจะไปจดทะเบียนธุรกิจในสิงคโปร์หรือฮ่องกง เนื่องจากนโยบายต่าง ๆ ของทางภาครัฐไม่ได้มีการสนับสนุน ทำให้การไปทำที่ต่างประเทศ ฉะนั้นแล้วจึงอยากที่จะดึงในส่วนนี่้ให้มีการจดทะเบียนที่ไหนมากขึ้น ถ้าทำได้ในแง่ดีจะให้มีฐานภาษีระยะยาว 

 

7.สร้างนวัตกรรมและดิจิทัลผ่านเขตธุรกิจใหม่ (New Business Zone) หรือ “NBZ” โดยนโยบายการสร้างเขตธุรกิจใหม่ 4 แห่งเป็นพื้นที่นำร่อง ได้แก่ กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ สู่การสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ลดรายได้กระจุกตัวในกทม.และเมืองใหญ่

ประกิต : กลุ่มก่อสร้างจะได้รับประโยชน์ เพราะต้องมีการลงทุนในอินฟราสตัคเจอร์ หุ้น CK STEC หรือ BEM 

กิจพณ : เขตธุรกิจใหม่ อาจจะไม่จำเป็นหรือเป็นนิคมอุตสาหกรรมก็ได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นโครงการที่มีการต่อยอดจากใน EEC และช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่ารัฐบาลเดิมพยายามที่จะไปทำในเศรษฐกิจพิเศษในบริเวณแถว ๆ ชายแดนในแต่ละที่ เช่น ทางเหนือ และอีสาน และไม่ประสบความสำเร็จ หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะเป็นหุนกลุ่ม นิคมอุตสาหกรรม และสาธารณูปโภคที่มีบริษัทลูกอยู่แล้ว จะเป็น WHA กับ AMATA 

 

8.เพิ่มรายได้เกษตร 3 เท่า พักหนี้เกษตร 3 ปี (ภายในปี 2570) จากรายได้เฉลี่ย 10,000 บาท/ไร่/ปี เพิ่มเป็น 30,000 บาท/ไร่/ปี และสร้างระบบยืนยันราคาทำให้ราคาสินค้าเกษตรดี นำนวัตกรรมการเกษตรมาเพิ่มปริมาณผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต รายได้สุทธิของเกษตรกรจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ประกิต : กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากรายได้ในต่างจังหวัด อย่าง GLOBAL DOHOME CRC และกลุ่มนอนแบงก์อย่าง AEONTS SAWAD และ MTC

กิจพณ : ในอนาคตยังต้องไปดูว่า จะมีแค่การกับสถาบันภาครัฐอย่างเดียวหรือไม่ อย่าง ธกส. ที่ภาครัฐจะมีการจัดตั้งงบประมาณออกมา ถ้าเป็นเช่นนี้สถาบันการเงินไม่ได้ประโยชน์จะเดิม แต่กำลังซื้อเกษตรกรจะเพิ่มมากขึ้น ไม่ต้องพะวงกับการชำระคืนหนี้ ซึ่งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จะเป็นค้าปลีกกับกลุ่มเช่าซื้อ 

 

9. นโยบายหวยบำเหน็จ สลากการออม สนับสนุนให้ประชาชนออมเงินผ่านกลไกการออกสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ลุ้นเงินรางวัล และยังได้รับเงินทุกบาททุกสตางค์คืนตอนอายุ 60 ปี สำหรับวงเงินที่ต้องใช้ในนโยบายนี้ พรรคเพื่อไทยประเมินไว้ที่ 800 ล้านบาท 

ประกิต : -

กิจพณ : -

 

10.นโยบายรถไฟฟ้า กทม. 20 บาทตลอดสาย และขยายเส้นทางระบบรางทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยประเมินวงเงินที่ต้องใช้ในการดำเนินนโยบายอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท และอีก 8 พันล้านบาทต่อปี การขยายโครงการข่ายระบบราง และนโยบายเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ

ประกิต : ดีกับกลุ่มรับเหมางานจะมีเข้ามา รวมถึงกลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC SCCC รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ ที่จะได้รับประโยชน์ด้วย เพราะทุกคนก็หันมานั่งรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมไปหลาย ๆ พื้นที่ในกทม. และหลาย ๆ พื้นที่ยังสามารถนำมาพัฒนาได้ เปิดเป็นคอนโดฯ ก็ยังสามารถขายได้ เช่น AP ANAN ORI SIRI 

กิจพณ : ระบบรางมีทั้งบนดินและใต้ดิน โครงสร้างของสัมปทานจะมีความแตกต่างกัน ขณะที่แต่ละเจ้าก็มีสัญญาที่ได้ค่าเดินรถ แต่จะคุมให้อยู่ใน 20 บาท ก็ยังต้องรอดูว่าจะมีมาตรการ และจะจัดตั้งงบประมาณออกมาช่วยอย่างไร เนื่องจากปัจจุบันสัมปทานยังไม่หมดไป