‘หุ้นเทคฯ สหรัฐ’ ไปต่อหรือพอแค่นี้ ! หลังปรับตัวขึ้นแรง  จากกระแส ‘AI Hype’

‘หุ้นเทคฯ สหรัฐ’ ไปต่อหรือพอแค่นี้ ! หลังปรับตัวขึ้นแรง  จากกระแส ‘AI Hype’

ข้อมูลเผย หุ้นกลุ่มเทคฯ มีโอกาสขึ้นต่อหลังเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 3-5 เดือน แม้ในระยะสั้น หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสพักฐาน แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ Microsoft Apple และ Google ท่ามกลางสถานการณ์หุ้น Tesla-Netflix ร่วงแรงแม้กำไรไตรมาส 2 โตสดใสที่ 14% และ 3% ตามลำดับ

Key Points

  • ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคฯ ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดย Nasdaq-100 Russell 1000 Index และ SOX Index ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) ที่ 35.66% 18.69% และ 46.08% ตามลำดับ 
  • จากสถิติแล้วหุ้นกลุ่มเทคฯ มีโอกาสขึ้นต่อประมาณ 3-5 เดือน หลังเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย
  • บล.บัวหลวง มองว่าระยะสั้นหุ้นเทคฯ สหรัฐมีโอกาสพักฐาน แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อ Microsoft Apple และ Google

“ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น” ของหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ ส่งผลกดดันหลายแง่มุมของการลงทุน ทว่าท่ามกลางความปั่นป่วนดังกล่าว “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” ของสหรัฐกลับปรับตัวขึ้นได้อย่างสดใส  

โดยผลตอบแทนของบรรดาดัชนีฯ ด้านเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอย่าง ดัชนีแนสแด็ก 100 (Nasdaq-100) ดัชนีรัซเซลล์ 1000 (Russell 1000 Index) และดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ (SOX Index) ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) อยู่ที่ 35.66% 18.69% และ 46.08% ตามลำดับ 

สอดคล้องกับคำกล่าวของ นายสิทธา เซ่งไพเราะ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอสซีบีเอเอ็ม (SCBAM) ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเทคฯ ของสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง 

โดยหากต้องการพิจารณาต่อไปว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่ ต้องประเมินจาก 2 ปัจจัยหลักคือ

1. เศรษฐกิจสหรัฐในภาพใหญ่: จากสถิติในอดีต ราว 3-5 เดือนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สิ้นสุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หุ้นกลุ่มเทคฯ มักจะปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในทิศทาง ไซด์เวย์ หรือไซด์เวย์อัป ซึ่งปัจจุบันบรรดานักวิเคราะห์เห็นสอดคล้องกันว่าเฟดอาจจะสิ้นสุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ หรือไม่ก็อีกหนึ่งครั้งในเดือนก.ย. 

2. กระแสการคลั่งปัญญาประดิษฐ์ (AI Boom): โดยมากหากนักลงทุนแห่ซื้อหุ้นเอไอจำนวนมาก อาจทำให้เกิดกระแสการซื้อตามกัน หรือ AI Hype และนำไปสู่การเกิด “ฟองสบู่เอไอ” ดังนั้นหากจะพิจารณาสภาวะดังกล่าวในหุ้นกลุ่มเทคฯ  ต้องประเมิน 3 มิติคือ 

  • มิติด้านราคา: หากคำนวณตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งเกิดกระแสคลั่งเอไอ มาจนถึงทุกวันนี้ ดัชนีแนสแด็ก 100 ดัชนีรัซเซลล์ 1000 และดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 30-50% ซึ่งยังน้อยอยู่เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติดอทคอมในปี 2543 ที่บรรดาดัชนีหลักอย่าง FAAMG Nasdaq และARKK พุ่งสูงขึ้นที่ 150% 200% และ 300%ตามลำดับ

ประกอบกับ หากพิจารณาทั้ง ดัชนีแนสแด็ก 100 ดัชนีรัซเซลล์ 1000 และดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย พบว่ายังคงติดลบ และไม่พ้นจุดสูงสุดเดิม ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า กระแสคลั่งเอไอเกิดขึ้นแล้ว แต่ราคายังไม่ปรับตัวสูงขึ้นไปถึงจุดที่แพงแบบเอ็กซ์ตรีม (Extreme)

  • มิติด้านการประเมินมูลค่า (Valuation): หากประเมินทั้งดัชนีแนสแด็ก 100 ดัชนีรัซเซลล์ 1000 และดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ ล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่แพง โดย ดัชนีแนสแด็ก 100 และดัชนีรัซเซลล์ 1000 อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยที่ 1-1.5 สแตนดาร์ด ดิวิเอชั่น (SD) ในขณะที่ ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ อยู่ที่ 2 เอสดี ซึ่งแพงมาก
  • มิติด้านแนวโน้มกำไร: จากข้อมูลพบว่า มีเพียงแนสแด็ก 100 ที่ได้รับการปรับประมาณการกำไรขึ้นเรื่อยๆ ในขณะดัชนีรัซเซลล์ 1000 อยู่ในลักษณ์ทรงตัว และดัชนีเซมิคอนดักเตอร์เริ่มทรงตัวแต่ไม่ได้มีทิศทางที่ดีมากนัก เพราะฉะนั้นในปัจจัยเรื่องคาดการณ์กำไร อาจจำเป็นต้อง เลือกพิจารณาหุ้นรายตัว (Selective Buy)

ขณะที่ นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ในระยะสั้นช่วง 1-2 เดือน หุ้นเทคฯ สหรัฐมีโอกาสพักฐานเพราะที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นร้อนแรงแล้ว รวมทั้งนักลงทุนเริ่มหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ทนทานต่อความเปลี่ยนแปลงมาก (Defensive Stock) ขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากดัชนีแนสแด็กปรับตัวลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 0.6% สวนทางกับดัชนีดาวน์ โจนส์ (Down Jones) ที่ปรับตัวขึ้น 2.1% 

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวยังมีมุมมองเชิงบวกกับภาคส่วนดังกล่าว โดยเฉพาะสำหรับหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) แอปเปิล (Apple) และ กูเกิล (Google)

โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหุ้นกลุ่มเทคฯ สหรัฐปรับตัวลดลงประมาณ 0.6% ในขณะที่หุ้นเทสลา (Tesla) และเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) เป็นหุ้นสองตัวที่นำตลาดลง

สำหรับเทสลาปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากว่า 8% เนื่องจากแม้กำไรไตรมาส 2 ปรับตัวสูงขึ้น 14% มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์แต่มุมมองช่วงครึ่งปีหลังอาจต้องลดราคารถยนตไฟฟ้า (EV) ต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้นเน็ตฟลิกซ์ปรับตัวลดลงเพราะกำไรโตต่ำคาดอยู่ที่เพียง 3% 

“ในระยะยาวเรายังมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นเทคฯ เพราะในอนาคตทั้งเทรนด์ดิจิทัล และเอไอมาแน่นอน แต่ก็ขอให้พิจารณาเป็นรายตัวไป (Selective Buy) แต่ในช่วง 1-2 เดือนนี้เชื่อว่าหุ้นกลุ่มเทคฯ จะพักฐาน รวมทั้งยังอาจโดนกดดันเพิ่มเติมจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วง 1-2 เดือนนี้ อีก 1-2 ครั้ง”

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์