จัดพอร์ตลงทุนสู้ความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อ

เดือนก.ค.นี้นักลงทุนน่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนของนโยบายการเงินสหรัฐ ที่ไม่น่าจะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปมากกว่าที่คาด ส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐ และหุ้นที่ลงทุนทั่วโลก

โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว เช่นเดียวกับหุ้นจีนที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน สำหรับตลาดหุ้นไทย จะได้แรงสนับสนุนจากเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อมีความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล

สำหรับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เชื่อว่านักลงทุนจะมองหาจังหวะที่จะสะสมตราสารหนี้คุณภาพดี ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง และมีโอกาสได้รับ capital gains หลังอัตราผลตอบแทนเริ่มปรับลดลง

ทั้งนี้ เมื่อมองในรายละเอียด แม้รอบการประชุมล่าสุดของเฟดในเดือนมิ.ย.เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25% แต่ส่งสัญญาณว่ามีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยไปแตะระดับ 5.75% ปลายปีนี้ และไม่น่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยลงเพราะเงินเฟ้อยังสูง

ขณะที่ตัวเลขภาคการค้าปลีกในสหรัฐเริ่มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงและภาคการผลิตเริ่มหดตัว จึงมองว่า การส่งผ่านของนโยบายการเงินที่ตึงตัวมาปีเศษๆ  จะเริ่มเห็นผลให้เศรษฐกิจสหรัฐลดความร้อนแรงลง ส่งผลให้เฟดอาจขยับดอกเบี้ยได้อีกเพียงหนึ่งครั้งช่วงปลายกรกฎาคมนี้ สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คือท่าทีของประธานเฟดที่มีต่อมุมมองภาวะเงินเฟ้อสหรัฐ

อย่างไรก็ดี จากคาดการณ์ที่ดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐน่าจะเริ่มทรงตัวหรือปรับย่อลงได้ในที่สุด เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าสะสมตราสารหนี้คุณภาพ อีกทั้ง เดือนกรกฎาคมเป็นจังหวะที่นักลงทุนจะติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนช่วงไตรมาสสองที่จะทยอยประกาศออกมา และคาดว่าบริษัทขนาดใหญ่ทั้งที่ลงทุนในสหรัฐและทั่วโลกรวมทั้งบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยียังมีกำไรที่น่าสนใจอยู่

 ด้านตลาดจีน นักลงทุนผิดหวังที่รัฐบาลจีนยังไม่มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมากพอ และตัวเลขเศรษฐกิจจีนต่างๆ มีสัญญาณเติบโตช้าลง และราคาบ้านปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงมากแล้ว แต่เศรษฐกิจจีนปีนี้ยังมีท่าทีจะขยายตัวได้เฉียด 5% อีกทั้งเห็นการปรับตัวในภาคเทคโนโลยีของจีน ประกอบกับไม่ได้มีมาตรการจำกัดกลุ่มเทคเช่นในอดีต น่าจะช่วยให้ตลาดจีนโดยรวมปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้

กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในเดือนนี้ แต่ด้วยมูลค่าหุ้นที่ลดลงมาค่อนข้างมาก ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปีที่มีแนวโน้มสดใสขึ้น จากรายได้การท่องเที่ยว และการส่งออกเริ่มเป็นบวก จากการฟื้นตัวในภาคอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและเกษตรแปรรูป

ขณะที่ความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์จะทยอยฟื้นตัวโดยเฉพาะจากอุปสงค์นักลงทุนต่างชาติ ถ้าสุดท้ายเรามีคณะรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ จะเรียกความเชื่อมั่นในตลาดทุนกลับมาได้ หุ้นไทยขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการดีและมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน น่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนได้ในเดือนนี้