ประเมินกลยุทธ์ VI

ในช่วง 4-5 ที่ผ่านมานี้  การลงทุนในตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะยากขึ้นทุกที  ไม่ใช่เพราะว่าดัชนีหุ้นไทยไม่ไปไหนเลยเพียงอย่างเดียว

แต่เป็นเพราะว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ VI แนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ผมใช้มานานและได้ผลดีมากมาตลอดนั้น  เริ่มได้ผลน้อยลงมาก  เหตุผลสำคัญผมคิดว่าเกิดจากการที่หุ้นซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นไทยเดิมนั้น  “อิ่มตัว” แล้ว  ราคาได้ปรับตัวขึ้นมามากจนราคาไม่ถูกอีกต่อไป  บางตัวก็อาจจะเรียกว่าแพงแล้ว

ในขณะเดียวกัน  หุ้นซุปเปอร์สต็อก “รุ่นใหม่” ก็หาแทบไม่ได้ในสายตาของผม  จริงอยู่  ยังมีกิจการที่ดีเยี่ยมที่อาจจะกำลังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง  แต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าพื้นฐาน  นอกจากนั้น  การเติบโตระยะยาวมากก็ยังไม่แน่นอน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ 

ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีหุ้นดิจิทัลหรือไฮเทคที่มีความสามารถและ/หรือความได้เปรียบที่ยั่งยืนจริงๆ  ดังนั้น  การลงทุนก็เป็นความเสี่ยงเพราะหุ้นมี Margin of Safety ต่ำมาก  ผมจึงไม่ลงทุน  และก็พลาดที่จะได้ปผลตอบแทนที่รวดเร็วแบบ VI รุ่นใหม่หลายๆ  คนทำได้ในช่วงที่ผ่านมา  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่เจ็บตัวเมื่อหุ้นเหล่านั้นหลายตัวตกลงมาจนแทบหายนะในช่วงเร็วๆนี้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาน่าจะอย่างน้อย 5 ปี  ของผมต้องถือว่าย่ำแย่  ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 1.8% ต่อปี  แม้ว่าจะยังดีกว่าดัชนีตลาดที่ -0.6% ต่อปี  แต่ก็ถือว่าเลวร้ายมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผลตอบแทนของพอร์ตของผมที่มักจะสามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้เกินกว่า 10% ต่อปีแทบทุกปีในอดีตเป็นเวลากว่า 20 ปีนั้น  ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแทบทำไม่ได้ดีกว่าตลาดเลย

 

หลักการลงทุนแบบ VI ที่ใช้ในตลาดหุ้นไทยและได้ผลดีมายาวนานนั้น  สำหรับผมมันแทบจะจบไปแล้ว  ตอนนี้ผมแค่คิดว่า  ผลดีของการลงทุนแบบ VI ที่ยังเหลืออยู่ก็คือ  มันสามารถปกป้องพอร์ตไม่ให้เกิดหายนะรุนแรงได้  และบางทีก็น่าจะยังสามารถรักษาผลตอบแทนระยะยาวหลังจากนี้ได้ปีละ 5-7% แบบทบต้น  ซึ่งนั่นก็ดีพอที่จะคงพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ของผมไว้ในประเทศหรือตลาดหุ้นไทย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมอายุมากแล้ว  และก็คงไม่ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นไม่ว่าเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นจะแย่แค่ไหน

แต่ก็แน่นอนว่า ผมคงไม่ยอมที่จะลงทุนเงินทั้งหมดในที่ที่จะให้ผลตอบแทนระยะยาวต่ำหรือต่ำมาก  ในฐานะของนักลงทุนที่เป็น “นักเลือก” ผมจึงต้องแสวงหาประเทศและตลาดหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงต่ำ  ซึ่งเมื่อ 6-7 ปีที่แล้วผมก็เริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามที่ผมวิเคราะห์ดูแล้วว่ามีความคล้ายคลึงกับไทยโดยเฉพาะในช่วงประมาณซัก 15-20 ปีก่อน

โดยเฉพาะในด้านของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น  ผมค่อยๆ  ลงทุนจากเม็ดเงินไม่เกิน 5% และก็ทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้  ขนาดของพอร์ตการลงทุนในเวียตนามของผมเพิ่มขึ้นจนถึงเกือบ 30% ของความมั่งคั่งไปแล้ว  อานิสงส์ส่วนหนึ่งมาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นและการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนที่ได้จากปันผลของหุ้นไทยที่ยังมีสัดส่วนกว่า 65%

ถึงวันนี้  ผมแทบจะไม่แยกว่าการลงทุนในเวียตนามเป็นเพียง  “Alternative Investments” หรือ “การลงทุนทางเลือก” อีกต่อไปแล้ว  และลึก ๆ  แล้วผมคิดว่ามีโอกาสที่วันหนึ่งมันอาจจะใหญ่กว่าการลงทุนในประเทศไทยก็ได้  โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงพอร์ตที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของเศรษฐกิจเวียตนามและการเติบโตของบริษัทหรือหุ้นโดยเฉพาะแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียตนามที่ผมใช้เป็นหลักในการลงทุน

มองจากภาพใหญ่ ตลาดเวียดนามตั้งแต่เปิดในปี 2000 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 23 ปี  ดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 100 จุด เป็น 1,168 จุดเมื่อวันที่ 15 ก.ค.2566 ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึงปีละ 11.3% เมื่อคิดรวมปันผลก็น่าจะสูงถึง 14-15% นับเป็นผลตอบแทนที่ “สุดยอด” ตลาดหนึ่งของโลก  ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีนี้ก็สูงถึงประมาณ 16-17% ไปแล้ว  ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามที่โตเร็วระดับต้นๆ  ของโลกที่ระดับไม่ต่ำกว่า 6-7% ต่อปี  ในช่วงระยะเวลาติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 23 ปีเช่นกัน  โดยที่การเติบโตระดับนี้ยังได้รับการคาดการณ์ว่าจะดำเนินต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปีขึ้นไปโดยหน่วยงานการพัฒนาทางเศรษฐกิจระดับโลก เช่น IMF เป็นต้น

กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น  แน่นอนว่าเป็นแบบ VI ตั้งแต่ต้น  แต่ในช่วงแรกที่เข้าไปนั้น  เนื่องจากยังไม่รู้จักบริษัทจดทะเบียนและถ้ารอศึกษาก็ไม่ทัน  ผมจึงใช้สูตรการลงทุนแนวของ Joel Greenblatt ที่เขียนในหนังสือ the Little Book That Beats the Market ซึ่งใช้อัตราส่วนทางการเงินที่แสดงถึงคุณภาพและราคาของหุ้นแบบ VI เป็นตัวคัดหุ้นลงทุน  ซึ่งก็ได้เข้าไปลงทุนในหุ้นขนาดเล็กนับร้อยตัวที่ผมยังคงถืออยู่ในขณะนี้  ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้ตระหนักก็คือ  การขายหุ้นที่จะต้องทำเพื่อปรับพอร์ตทุกปีตามกลยุทธ์นี้ของผมทำไม่ได้  เพราะหุ้นมีขนาดเล็กและสภาพคล่องต่ำเกินไป

กลยุทธ์ต่อมาเมื่อผมเริ่มศึกษาและมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นรายตัวมากขึ้นก็คือ  การเลือกลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนาม  วิธีเลือกหุ้นส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่อุตสาหกรรมและหุ้นที่เคยเป็นซุปเปอร์สต็อกของไทยในอดีตประมาณ 10-20 ปีที่ผ่านมา  หุ้นที่เลือกประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 4 ตัว  ขนาดกลางประมาณ 4 ตัว  และหุ้นขนาดเล็กอีก 2-3 ตัว  ซึ่งส่วนใหญ่ก็เพิ่งลงทุนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาและจนถึงทุกวันนี้ก็ยังทยอยลงทุนเพิ่มจนมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 70% ของพอร์ตหุ้นเวียดนามทั้งหมด  และก็ถือว่าขณะนี้  พอร์ตการลงทุนในเวียตนามของผมก็สอดคล้องกับกลยุทธ์การเลือกหุ้นและลงทุนระยะยาวของผมแล้ว  นั่นก็คือ  ส่วนใหญ่หลังจากนี้ก็จะ “ถือ” ไว้เฉย ๆ ไม่ทำอะไรมากเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป

นับจากต้นปีนี้จนถึงวันที่ 15 ก.ค. 66  ผลตอบแทนจากดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามเท่ากับประมาณ  16-17% และเป็นการฟื้นตัวจาก “วิกฤติ” ตลาดหุ้นปีที่แล้ว  ที่ดัชนีตกลงประมาณ 30%   หุ้นเวียดนามโดยรวมของผมปรับตัวขึ้นมาประมาณ 14-15% โดยที่พอร์ตส่วนที่เป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกนั้น  ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าหุ้นขนาดเล็กจำนวนเป็นร้อยตัวที่ถูกเลือก

โดยการกรองด้วยอัตราส่วนการเงินแบบ VI  และนี่ก็เป็นความแปลกใจเล็กๆ  ของผม  แต่ที่จริงนักวิเคราะห์ของเวียตนามได้เคยบอกไว้แล้วว่าในยามที่หุ้นกำลัง Turnaround หรือฟื้นตัวนั้น  หุ้นเล็กและ “หุ้นเก็งกำไร” ที่ตกลงไปหนักในปีก่อน  จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงที่หุ้นกำลังฟื้นตัว   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  นักลงทุนรายบุคคลมีสัดส่วนในการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นถึง 90% และพวกเขาชอบเล่นตัวเล็กและเก็งกำไร 

และนั่นก็นำมาสู่สิ่งที่ผมจะต้องยอมรับว่า  การลงทุนหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามนั้น  ในระยะสั้น  อาจจะ 2-3 ปีนี้  อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด  เราอาจจะต้องรอจนกว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะพัฒนาขึ้นเป็นตลาด “Emerging Market” ที่นักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ต่างชาติสามารถที่จะเข้ามาลงทุนได้  ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น  หุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกก็จะเป็นที่ต้องการ  และการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นก็จะโดดเด่นและยาวนานเฉกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยเมื่อ 10-20 ปีก่อน

ในส่วนของประเทศไทยในปัจจุบัน  ผมใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบซุปเปอร์สต็อกประมาณครึ่งหนึ่งของพอร์ต  และอีกครึ่งหนึ่งเป็นแบบ  “Super Cheap Stock” หรือหุ้นถูกมากที่ไม่ได้มีคุณสมบัติบางอย่างเช่น  การเติบโตสูง  แต่มีคุณภาพอย่างอื่นดีพอใช้  และราคาหุ้นถูกมาก  ผลการลงทุนที่ผ่านมาจากต้นปีนั้นคือ  “เสมอตัว” ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวเมื่อคำนึงถึงว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงประมาณเกือบ 10%  ผมเองได้แต่หวังว่า  ปีนี้ทั้งปีจะ “เอาตัวรอดได้”  อีกปีหนึ่ง  อานิสงค์จากตลาดหุ้นเวียตนามที่ในระยะหลัง ๆ  สร้างผลงานที่ดีต่อเนื่องในขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้นดูเหมือนว่าจะสร้างความผิดหวังปีแล้วปีเล่า