กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่สั้นที่สุด

กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่สั้นที่สุด

ภาวะที่ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างช้าๆ  ต่อเนื่องในช่วงเร็วๆนี้  แต่ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนหลายตัวที่เคยเป็นหุ้น  “ดารา” ที่ราคาวิ่งขึ้นไปสูงเป็น “จรวด” ก่อนหน้านี้  กลับตกลงมาแรงต่อเนื่องจนแทบเป็น “หายนะ”  ทำให้ผมรู้สึกว่า  กลยุทธ์การลงทุน “ระยะยาว” ที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนอย่างมั่นคงจริงๆ นั้น 

คงไม่ใช่การเลือกหุ้นลงทุนในหุ้นที่กำลังวิ่งขึ้นแรงและขายหุ้นก่อนที่มันจะลงไปอย่างหนักซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ “นักเทรด” หรือ “นักซื้อขายหุ้น” ไม่ว่าจะเป็นนักเก็งกำไร หรือเป็น Value Investor  เพราะผมคิดว่า  คนที่ทำแบบนั้นคงจะ “เจ็บตัว” อย่างหนักเพราะขายไม่ทันและขาดทุนไปมาก ซึ่งน่าจะทำให้ผลตอบแทน “ระยะยาวแบบทบต้น” ของเขาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอาจจะสูงมาก

ผมคิดว่ากลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี  มีความมั่นคง  และคนลงทุนจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของการขาดทุนอย่างหนักอย่างที่กำลังอาจจะเกิดขึ้นกับนักลงทุนบางคน ในช่วงนี้ควรจะเป็นแนวการลงทุนแบบวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ทุกคนยกย่องชื่นชมว่าเป็นสุดยอดของการลงทุนระยะยาว  แต่เป็นกลยุทธ์ที่น้อยคนที่จะใช้หลายคนอาจจะคิดว่ามันยาก และเหนือความสามารถของตนที่จะวิเคราะห์หุ้นได้เก่งขนาดนั้น 

อย่างไรก็ตาม  ผมเองคิดว่าคนจำนวนมากสามารถเลียนแบบกลยุทธ์ของบัฟเฟตต์ที่จะทำให้สามารถทำผลตอบแทนระยะยาวที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังทำอยู่  และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นหลักคิดและวิธีสำหรับการลงทุนระยะยาวที่น่าจะ “ง่ายและสั้นที่สุด” และก็เป็นกลยุทธ์ที่ผมเองใช้มายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว

หลักสำคัญข้อแรกก็คือ  ต้องพยายามหลีกเลี่ยง “หายนะ” ของการลงทุน  ซึ่งก็คือการหลีกเลี่ยงการลงทุนแต่ละครั้งในหุ้นแต่ละตัวที่มีความเสี่ยงสูงเกินไป  อาจจะเป็นเพราะตัวธุรกิจที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูงและขณะที่ซื้อหุ้นนั้นราคาสินค้าอยู่ในภาวะสูงผิดปกติ  หรือลงทุนในหุ้นที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วและสูงกว่าปกติมาก  เช่น  หุ้นขึ้นไปแล้วเป็น 100% หรือหลายเท่าตัวแล้วในช่วงเวลาอันสั้น  เป็นต้น

การกระจายความเสี่ยงของการลงทุน โดยเฉพาะการถือหุ้นจำนวนไม่น้อยกว่า 5-6 ตัวที่เป็นหุ้นหลัก  การไม่ถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน 40-50% ของพอร์ต  และการไม่ใช้เงินกู้หรือมาร์จินในการซื้อหุ้นสูงเกินกว่า 20-30% ของพอร์ต  จะเป็นการลดโอกาสที่มูลค่าพอร์ตลงทุนจะกลายเป็น “หายนะ” ได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่เลวร้าย

จากประสบการณ์  ผมพบว่าตลาดหุ้นไทยนั้นประสบกับสภาวะเลวร้ายบ่อยมาก  และถ้าเราลงทุนต่อเนื่องยาวนาน  โอกาสที่จะประสบกับภาวะวิกฤติหุ้นก็สูงมาก  แต่ถ้าเรา “เอาตัวรอดได้”  เช่นในช่วงวิกฤติที่ตลาดหุ้นตกลงมา 30-40% ขึ้นไป  พอร์ตเราก็จะตกลงมาแค่ 10-20%  นั่นก็จะทำให้พอร์ตเราให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีและดีกว่าตลาดมากได้  ซึ่งนั่นก็จะนำเราไปสู่ความมั่งคั่งได้อย่างมั่นคงในระยะยาวอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไปอย่างแน่นอน

หลักสำคัญข้อ 2 ก็คือ  ลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีและจะดีต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 5-6 ปีขึ้นไป  ซึ่งนั่นก็หมายความว่าบริษัทจะต้องมีความสามารถในการแข่งขันและถ้าจะดีขึ้นไปอีกก็คือ  มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนที่คู่แข่งไม่สามารถสร้างได้อย่างน้อยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า  การประเมินเรื่องนี้จะต้องประเมินอย่างระมัดระวังและแน่ใจจริง ๆ ว่าบริษัทคู่แข่งทั้งปัจจุบันและอนาคตไม่สามารถสู้ได้และก็ไม่สามารถเลียนแบบได้อย่างน้อยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

ความผิดพลาดในการประเมินที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ  นักลงทุนมักจะไปดูการเติบโตของยอดขายหรือกำไรว่าเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของบริษัทเหนือคู่แข่ง  แต่นี่อาจจะเป็นเรื่องชั่วคราวที่อาจจะเกิดจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่ถูกต้องในภาวะนั้นที่คู่แข่งอาจจะยังไม่ตระหนักหรือตามไม่ทัน  แต่ในไม่ช้าก็อาจจะเลียนแบบหรือใช้กลยุทธ์แบบนั้นได้  ในกรณีแบบนี้ก็ไม่เข้าข่ายในเรื่องของความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่งอย่างยั่งยืน  และถ้าเราเข้าไปลงทุนก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได้

สิ่งสำคัญในข้อนี้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ  ราคาที่ซื้อหุ้นจะต้องถูกหรือเหมาะสม  ซึ่งนี่ก็เป็นประเด็นที่จะต้องระมัดระวังว่าเท่าไรถึงจะถูกหรือเหมาะสม  ค่า P/E จากกำไรปกติที่ไม่เกิน 25 เท่าอาจจะเป็นตัวเลขหนึ่งที่จะใช้  อีกตัวเลขหนึ่งที่ผมเองใช้มากกว่าก็คือ Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นโดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นยังมีขนาดไม่ใหญ่มาก  เช่นเป็นกิจการที่เพิ่งเริ่มต้นไม่นานและกำไรยังไม่สูง  แต่ศักยภาพที่จะโตของบริษัทอาจจะสูงมาก  เช่น  จะขยายไปทั่วประเทศจากที่เคยอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่  เป็นต้น  ในกรณีแบบนั้น  เราก็ต้องวิเคราะห์ไปยาวนานว่าการเติบโตของยอดขายในที่สุดจะเป็นเท่าไรและกำไรควรจะมากขนาดไหนและสุดท้ายค่า P/E เป็นเท่าไร  ซึ่งก็จะทำให้รู้ว่า Market Cap. ควรจะมีขนาดไหน

ข้อสุดท้ายก็คือ  เมื่อได้หุ้นที่ดีในระยะยาวมากหรือเป็นแนว  “ซุปเปอร์สต็อก”  ในราคาถูกหรือยุติธรรมแล้ว  ก็ถือหุ้นไว้ให้ยาวที่สุดหรือเรียกว่า  “ถือหุ้นตลอดไป”  ไม่ขายเป็น 10 ปี ขึ้นไป  ไม่ว่าในระหว่างนั้นราคาจะขึ้นหรือลง  ซึ่งก็แน่นอนว่าในช่วงเวลาที่ผ่านไป  หุ้น 5-10 ตัวที่ “ดีเยี่ยม” ที่ถืออยู่นั้นก็จะมีบางตัวที่มีราคาขึ้นไป  บางตัวก็มากกว่าปกติ  และก็มีบางตัวที่แย่หรือแย่กว่าปกติ  แต่ตราบใดที่พื้นฐานของบริษัทก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ  เราก็ไม่ต้องทำอะไร  อย่าพยายามขายตัวที่กำไรและเก็บตัวที่ขาดทุน  หรือขายตัวที่ขาดทุนและเก็บตัวที่กำไรไว้  สิ่งที่เราต้องดูก็คือ  “พอร์ตโดยรวม” ว่าในแต่ละช่วงเวลาเช่น  ทุกเดือนหรือทุก 3 เดือน  พอร์ตมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไร  ถ้าเราเลือกหุ้นดีแล้ว  โอกาสก็เป็นไปได้ว่าผลตอบแทนของพอร์ตก็จะดูดีกว่าดัชนีหุ้น—โดยเฉพาะในช่วงตลาดหุ้นลง  ส่วนในช่วงตลาดหุ้นดี  พอร์ตเราก็มักจะดีอยู่แล้ว  แต่ถ้าแพ้ตลาดก็ไม่เป็นไร

 ประเด็นของหลักการข้อนี้ที่ต้องคำนึงถึงก็คือ  เรามักจะไม่ค่อยได้ทำอะไรกับหุ้นเลย  โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้บริหารกองทุนรวมที่มีเงินใหม่เข้ามาเติมอยู่เรื่อยๆ  ดูเหมือนว่าเราจะต้องอยู่เฉยๆ  เป็นส่วนใหญ่  ในช่วงที่ยังต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหุ้น  ก็อาจจะเป็นเวลาที่ต้องอ่านหนังสือการลงทุน  อย่างไรก็ตาม  ถึงจุดหนึ่งเราก็อาจจะเบื่อแล้วเพราะหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนก็จะเริ่มซ้ำถ้าเราอ่านมามากพอ

การศึกษาติดตามหุ้นที่ลงทุนอยู่แล้ว  หรือการหาหุ้นใหม่ๆ เพื่อการลงทุนอาจจะเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับนักลงทุนที่เทรดหุ้นแม้ว่าจะไม่ได้เทรดบ่อย  แต่สำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวจริง ๆ  อย่างผมก็ใช้เวลาไม่มาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่เข้าข่ายหุ้นดีเลิศตัวใหม่ ๆ  ก็มีน้อยมาก  ดังนั้น  เวลาของผมส่วนใหญ่จึงใช้กับการศึกษาความรู้ใหม่ๆ  เช่น  เรื่องของยีนมนุษย์  ประวัติศาสตร์  การเมืองหรือความรู้ต่างๆ  ทางสังคมที่อาจจะมีประโยชน์ต่อการลงทุนอย่างที่เราอาจจะไม่รู้ตัว  แต่โดยรวมแล้ว  เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าตนเองลงทุนแบบ  “ขี้เกียจ” มาก  ว่าที่จริง  ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้ทำอะไรกับหุ้นที่ถือมายาวนานแต่ละตัวเกิน 5 ปีขึ้นไป  ส่วนใหญ่ถือมากว่า 10 ปีแล้วโดยที่แทบไม่ได้ซื้อหรือขายในกรณีของหุ้นไทย

คำถามที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ  ถ้าเราขยันและเทรดหุ้นบ้างจะไม่ดีกว่าหรือ  หุ้นแต่ละตัวอาจจะมีวงจรชีวิตที่โตเร็วและโตช้าหรือกำลังตกต่ำลง  ทำไมเราจะไม่ขายตัวที่มี “ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง” หรือ “Risk Reward Ratio” ต่ำ และซื้อตัวที่ให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงกว่า  คำตอบของผมก็คือ  เราคงไม่สามารถประเมินได้ละเอียดแบบนั้น  ดังนั้น  ก็ไม่ควรทำ

สุดท้ายก็คือ  เราแน่ใจอย่างไรว่ากลยุทธ์ถือหุ้นตลอดไปนั้น  ดีกว่าการเทรดหุ้น  คำตอบของผมก็คือ  ถ้ามองแบบภาพใหญ่ว่าหุ้นในตลาดนั้น  ในระยะยาวจะมีกิจการที่ดีเยี่ยมจริงๆ  เพียงไม่เกิน 5%  หรือบางทีอาจจะบอกว่ามีแค่ประมาณ 40-50 ตัว  หุ้นที่แย่และในที่สุดก็ล้มเหลวไปเลยอาจจะมีเป็น 100 ตัว  ที่เหลืออีก 6-700 ตัวเป็นหุ้นปานกลางที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ดังนั้น  ถ้าเราเลือกหุ้นที่คาดว่าจะดีแล้วเป็นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด  โอกาสก็คือ  เราก็จะสามารถเอาชนะดัชนีตลาดในระยะยาว  แม้ว่าหุ้นบางตัวเราจะพลาดและขาดทุนหนักไปเลยก็ตาม