ดาวโจนส์บวกกว่า 200 จุด ทะลุแนว 34,000 ขานรับผลทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test)

ดาวโจนส์บวกกว่า 200 จุด ทะลุแนว 34,000 ขานรับผลทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test)

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(29มิ.ย.)พุ่งขึ้นกว่า 200 จุด ทะลุแนว 34,000 จุด ขานรับผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินของสหรัฐ

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 269.76 จุด หรือ 0.80% ปิดที่ 34,122.42 จุด
  • ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 19.58 จุด หรือ 0.45% ปิดที่ 4,396.44 จุด
  • ดัชนีแนสแด็ก ลดลง 0.42 จุด หรือ 0.00% ปิดที่ 13,591.33 จุด

นอกจากนี้ นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 1/2566 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 269.76 จุด หรือ 0.80% ปิดที่ 34,122.42 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 19.58 จุด หรือ 0.45% ปิดที่ 4,396.44 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 0.42 จุด หรือ 0.00% ปิดที่ 13,591.33 จุด

หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤตประจำปีของภาคธนาคาร โดยระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐทั้ง 23 แห่งสามารถผ่านการทดสอบดังกล่าว

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 1/2566 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.0% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.4% และสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ระดับ 1.1% และ 1.3% ตามลำดับ

นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการเสวนาว่าด้วยเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งธนาคารกลางสเปนจัดขึ้นที่กรุงมาดริดในวันนี้

ส่วนในการเสวนาว่าด้วยนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ซึ่งธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จัดขึ้นที่โปรตุเกสวานนี้ นายพาวเวลส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.และก.ย.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดฉากการซื้อขายเดือนมิ.ย.ในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งสิ้นสุดไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566

ข้อมูลบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทให้ผลตอบแทนเกือบ 15% ในช่วงครึ่งปีแรก โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 14% ในช่วงดังกล่าว ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 30% ทำสถิติปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกดีที่สุดนับตั้งแต่มีการเริ่มใช้ดัชนี Nasdaq ในปี 2514 หรือในรอบกว่า 50 ปี ส่วนดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 2% จากต้นปี 2566

ดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq พุ่งขึ้นในเดือนมิ.ย.และไตรมาส 2 โดยได้รับปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง รวมทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 10 ครั้งติดต่อกัน

ข้อมูล ณ ขณะปิดตลาดเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ระบุการปรับตัวของดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq ในเดือนมิ.ย.และไตรมาส 2 เป็นดังนี้ :-
   -  ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนมิ.ย. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
   -  ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 1.3% ในไตรมาส 2 โดยเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565
  -  ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 4.7% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
  -  ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 6.5% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3
  -  ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.1% ในเดือนมิ.ย.
  -  ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 9.1% ในไตรมาส 2

นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันพรุ่งนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)