ส่อง 10 หุ้นกลุ่มการเมือง ตัวไหนร่วงยับที่สุด หลัง 'พิธา' ชนะศึกเลือกตั้ง 

ส่อง 10 หุ้นกลุ่มการเมือง ตัวไหนร่วงยับที่สุด หลัง 'พิธา' ชนะศึกเลือกตั้ง 

หุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนกับการเลือกตั้ง หลังพรรคก้าวไกลได้ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 หุ้นพรรคภูมิใจไทยของ เสี่ยหนู อนุทิน ร่วงหนักสุด STEC จากราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 12.20 บาท เทียบราคา 22 พ.ค.66 ที่ 9.50 บาท ลดลง 2.70 บาท หรือ -22.13%

สปอตไลท์ยังคงฉายไปที่การเมือง แม้ล่าสุดพรรคก้าวไกลจะร่วมลงนาม MOU กับ 8 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่แล้ว แต่ความไม่ชัดเจนในสัญญาบางข้ออย่าง ทิศทางการกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงไม่ชัด จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ส่งผลกระทบต่อความผันผวนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ โดยเฉพาะหุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับทางการเมือง

วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า หุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับการเมืองขณะนี้จะเห็นได้ชัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายค่าแรงที่มีการปรับขึ้นค่าแรง บางกลุ่มยังคงมีความเสี่ยง เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มร้านอาหาร กลุ่มส่งออกที่เกี่ยวกับอาหาร เนื่องจากมีต้นทุนที่ต้องจ้างคนงานค่อนข้างเยอะ จึงทำให้กระทบกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 8 - 15% หากก้าวไกลมีการปรับขึ้นค่าแรง 450 บาทจริงถือว่าค่อนข้างเยอะ อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบต่อนโยบายเช่นกันคือกลุ่มโรงไฟฟ้าที่จะมีการปรับลดค่าไฟ 70 สตางค์ต่อหน่วย จึงเป็นแรงกดดันให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า การปรับแก้นโยบายต่าง ๆ ค่อนข้างทำลำบากไม่ได้ง่ายมากนัก 

แม้ว่า นโยบายของก้าวไกลหากทำได้จริง กว่าจะทำได้ก็อาจจะใช้เวลาล่วงเลยไปถึงปลายปี 66 หรือช่วงไตรมาส 4/66 เพราะขณะนี้ยังอยู่ในเรื่องของการฟอร์มทีมรัฐบาล ซึ่งยังไม่รู้ว่า ท้ายสุดหน้าตาของรัฐบาลรอบนี้จะออกในรูปแบบไหน จะพลิกขั้วหรือไม่ มุมของการพลิกขั้วก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาได้ หากสัญญาณของ สว.ไม่ได้มีการสนับสนุนพรรคก้าวไกลเพียงพอกับการจัดตั้งรัฐบาล จึงทำให้ยังมีความสุ่มเสี่ยงต่อการใช้นโยบาย และการจะปรับใช้นโยบายบางอย่างของก้าวไกลไม่ได้ง่ายต่อการแก้ไข 

“สมมุติว่า หากก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ กลับมาเปลี่ยนขั้วกลายมาเป็นเพื่อไทยแทน เพราะมีเสียงใกล้เคียง ถ้าเพื่อไทยมาจริง ราคาหุ้นที่ลงไปจะตีกลับขึ้นมาทันที เนื่องจากพรรคเพื่อไทยดูมีประสบการณ์ที่มากกว่า นโยบายบางอย่างมีความอะลุ่มอล่วยมากกว่าก้าวไกล”  

ทั้งนี้หากมีการพลิกขั้วจริง ฝั่งเพื่อไทยได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลแทน หุ้นเฉพาะกิจอย่าง SC SIRI ก็จะกลับเข้ามาเก็งกำไรอีกครั้ง เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยเอื้อต่อเศรษฐกิจมากกว่านโยบายของพรรคก้าวไกลที่อาจจะมีมาตรการที่เข้มงวดมากกว่า ถ้าขั้วเพื่อไทยขึ้นมาจะทำให้ตลาดตอบรับค่อนข้างดี 

หุ้นที่โดนนโยบายยังคงเป็นกลุ่มโรงไฟ้ฟ้า ย่อตั้งรับ กำไรทำได้ดีกำไรยังทำดี ค้าปลีก แอดวานซ์ยังได้กำไรทำได้ดี แต่แค่โดนการเมือง หรือเครือเซนทรัล ซีอาร์ซี หน้าหุ้นพวกนี้ต้องมีสติซื้อถือรอ 

ด้าน ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ค่าแรงต้องยอมรับว่า มีผลกระทบเกิดขึ้นแน่ ๆ แต่เชื่อว่าน่าจะต้องได้เห็นมาตรการที่จะเข้ามาช่วยเหลือด้วย เพราะถ้าจะให้ไปเพิ่มค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการอย่างเดียวคงไม่ได้ อาจจะต้องไปลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยอื่น เช่น เกณฑ์การลดหย่อนภาษี หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ซึ่งยังคงต้องติดตาม 

และยังคงต้องรอดูการโหวตเสียงของ สว. อีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร และหลังจากนั้นเมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ต้องมาดูความเสี่ยงในไตรมาส 4/66 ด้วย เพราะจะได้รับผลกระทบจากการงบประมาณปี 67 ที่ออกมาล่าช้า

ทั้งนี้ สถานการณ์การลงทุนยังคงไม่แน่นอน คงกังวลของกลุ่มทุนยังคงมีอยู่สูง แม้ว่าสัญญา MOU จะออกมาแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เห็นใน MOU ที่จะทำให้คลายความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต เพราะเท่าที่ดูในรายละเอียดประเด็นอื่นๆ  ค่อนข้างเยอะ แต่ถ้ามาดูด้านเศรษฐกิจมีรายละเอียดไม่มาก ฉะนั้นช่วงนี้ตลาดยังคงเพิ่งเริ่มคลายจากความตกใจ แต่จะให้พลิกฟื้นกลับมาในขณะนี้ค่อนข้างยาก ฉะนั้นอาจจะอาศัยช่วงจังหวะนี้ที่มีตลาดมีการปรับขึ้นมา โดยการลดน้ำหนักลงไปก่อน เพราะว่าความไม่แน่นอนของนโยบายค่อนข้างมีสูงมาก 

กรุงเทพธุรกิจ ได้สำรวจหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนด้านการเมือง มีดังนี้

หุ้นกลุ่มพรรคเพื่อไทย 

 1.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 4.58 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 4.14 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 0.44 บาท หรือ -9.60%

2.บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 20.00 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 17.20 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 2.80 บาท หรือ -14.00%

3.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 1.89 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 1.77 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 0.12 บาท หรือ -6.34%

 

หุ้นกลุ่มพรรคภูมิใจไทย

1.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 12.20 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 9.50 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 2.70 บาท หรือ -22.13%

2.บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 4.02 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 3.60 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 0.42 บาท หรือ -10.44%

3.บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 13.90 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 12.10 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 1.80 บาท หรือ -12.94%

4.บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 4.78 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 4.66 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 0.12 บาท หรือ -2.51%

 

หุ้นกลุ่มพรรคพลังประชารัฐ 

1.บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 0.24 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 0.21 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 0.03 บาท หรือ -12.5%

2.บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JCKH

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 0.07 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 0.07บาท 
  • ไม่เปลี่ยนแปลง

 

หุ้นกลุ่มพรรครวมไทยสร้างชาติ

1.บริษัท อรินสิริ แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ARIN   

  • ราคาก่อนเลือกตั้ง 12 พ.ค.66 ที่ 4.28 บาท 
  • ราคา ณ วันที่ 22 พ.ค.66 ที่ 3.72 บาท 
  • เปลี่ยนแปลงลดลง 0.56 บาท หรือ -13.08%