ทุนใหญ่ระส่ำ – ราคาร่วง จับตาเขย่าโครงการแสนล้าน

ทุนใหญ่ระส่ำ – ราคาร่วง   จับตาเขย่าโครงการแสนล้าน

ตลอด 1สัปดาห์ตลาดหุ้นไทยยังไม่คลายบรรยากาศจาก “การเลือกตั้ง” ไม่ได้พา SET Election Really กับ กลายเป็น SET Down Trend Really ไปแทน เพราะทั้งดัชนีร่วงอย่างต่อเนื่อง เงินทุนต่างชาติที่เทขายออกจากตลาดหุ้นไทย รวมไปทั้งเงินของทุนใหญ่ในตลาดหุ้นต่างก็เทขายผสมร่วมมาด้วย

            โดยแรงขายของต่างชาติหนักหน่วงกว่า 8 หมื่นล้านบาท (YTD)  จากต้นปียังเป็นการซื้อสุทธิ 99,304.58 ล้านบาท เป็นการทยอยขายต่อเนื่อง เดือนก.พ. ขายสุทธิเดือนแรกของปี  43,562 ล้านบาท  เดือนมี.ค. ขายสุทธิ 32,000 ล้านบาท   เดือนเม.ย. ขายสุทธิ 7,901 ล้านบาท  และพ.ค. ยังไม่จบเดือนแต่แรงขายสุทธิไปแล้ว 15,761 ล้านบาท

            การขายสุทธิของต่างชาติภาพใหญ่หนีไม่พ้นวิกฤติการเงินขนากลาง-เล็กในสหรัฐที่เผชิญการล้มจากการขาดทุนตราสารหนี้ที่ถือครองเมื่อมีการแห่ไถ่ถอนเงินออกไปจนลามกลายเป็นการความเชื่อมั่นระบบการเงินของธนาคาร

            หลังจากสถานการณ์คลี่คลายในฝั่งสหรัฐในไทยมีการเลือกตั้งปรากฎว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดเปลี่ยนขั้วภายในพริบตาหลังจากพรรคก้าวไกลได้คะแนนเลือกตั้งนำมาเป็นอันดับ 1 ถึง 151 เสียง และยังล้มยักษ์ในพื้นที่สำคัญหลายจังหวัดแม้แต่ในกรุงเทพฯที่เลือกพรรคก้าวไกลยก 32 เขตจาก 33 เขต

        หากแต่สิ่งที่ตามมาและหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้สำหรับพรรคก้าวไกล 15 ข้อและข้อสำคัญพุ่งเป้าไปที่การปฎิรูปราชการและเอกชนอย่างชัดเจน  !!

         นโยบายเกี่ยวข้องกับสังคม อาทิ หยุดส่วย รีดไถ ระบบเส้นสาย  -รัฐโปร่งใส AI จับโกง คนแฉได้เงิน  นโยบายเกี่ยวข้องเศรษฐกิจ ขึ้นค่าแรงทุกปีเริ่ม 450บาท -สวัสดิการเด็กเล็ก 1,200 บาท/เดือน สูงวัย 3,000 บาท/เดือน -ลดค่าไฟฟ้า 0.70 บาท/หน่วย -สร้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง เป็นต้น

         เฉพาะเกี่ยวกับการปฎิรูปสังคม  ระบบราชการ  หรือปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า  การการลดการผูกขาดในบางธุรกิจ เช่น สุราเสรี และล่าสุดได้เพิ่มใช้กัญชากลับเข้าไปอยู่ในบัญชีควบคุมเหมือนเดิม

        ตามขั้นตอนการแก้ไขหรือปรับโครงสร้างย่อมต้องใช้เวลาและการแก้ไขทำได้ยากหากมีการทำสัญญากันไปแล้ว  แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมเกิดผลสะท้อนไปที่หุ้นที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพราะที่ผ่านมาในหลายยุคหลายรัฐบาล หรือแม้รัฐบาลมาจากการรัฐประหาร ยังเป็นระบบอุปถัมม์ เอื้อประโยชน์นายทุน ผ่านโครงการภาครัฐที่มีเม็ดเงินมหาศาล

       โครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3  มูลค่า 84,364 ล้านบาท ตกเป็นของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี  ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จับมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT 

       โครงการพัฒนาสนาบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 3 แสนล้านบาท มีบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ,บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC  

     โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่า 2.2 แสนล้านบาท         ผู้ชนะกลุ่ม CP ที่ผ่านการต่อรองเงื่อนไขสัญญากินเวลานานถึง 5 เดือน

      และยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก(ศูนย์วัฒนธรรม – บางขุนนท์ ) วงเงิน 1.2 แสนล้านบาทแล้ว ที่ผ่านการประมูลและล้มการประมูล จนสุดท้ายตกเป็นของ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ  BEM และ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน)

     ถือว่าเป็นโครงการที่รอสานต่อเพื่อดำเนินการ หากการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลในครั้งนี้ทำให้เงื่อนไขบางอย่างอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ มุมมอง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ฉหยวนต้า (ประเทศไทย) ปัจจัยการเมืองในประเทศหลังการ MOU ผ่านพ้นไปได้จะมีการร่วมบริหารกระทรวงเศรษฐกิจ ซึ่งมีหลายโครงการร้อนรอตัดสินเช่น

            1.ไฮสปีด 3 สนามบินรออนุมัติแก้สัญญาให้ซีพี 2.สนามบินอู่ตะเภาปรับจ่ายผลตอบแทนรัฐ 3.กทท.เปิดเจรจากัลฟ์ยืดสัญญาแหลมฉบังเฟส 3 ออกไป  4.รฟม.รอฝ่ายนโยบายเคาะประมูลสายสีส้มใหม่ และ5.กทม.รอเคลียร์หนี้-สัมปทานบีทีเอส 

        ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับทุนใหญ่ ที่ใกล้ชิดภาครัฐบาลเดิมจนทำให้เกิดความกังวลใจหุ้นรายตัว  จะเผชิญการเติบโตสะดุด รายได้โตไม่แรง งานในมือจะแผ่ว รวมไปถึงอาจถึงขั้นเลื่อนสัญญาออกไป  ราคาหุ้นจึงสะท้อนความกังวลใจเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งแรงขายของต่างชาติหรือจากทุนใหญ่ที่ผ่านกองทุนหรือทรัสในต่างประเทศที่ต้องดึงเงินในตลาดหุ้นกลับเข้าประเป๋าตัวเองไว้ก่อน