‘หุ้นไทย’ วันนี้ (15 พ.ค.) ลบ 19.97 จุด แรงขายอื้อ เงื่อนไขตั้งรัฐบาลไม่นิ่ง

‘หุ้นไทย’ วันนี้ (15 พ.ค.) ลบ 19.97 จุด แรงขายอื้อ เงื่อนไขตั้งรัฐบาลไม่นิ่ง

“ตลาดหุ้นไทย” ปิดตลาดวันนี้ (15 พ.ค. 66) อยู่ที่ 1,541.38 จุด ลดลง 19.97 จุด หรือ 1.28% “บล. ทิสโก้” ชี้ ดัชนีฯ ไม่เป็นไปตามคาด ยอมรับไม่มั่นใจ หลังจากนักลงทุนเทขายอย่างหนัก ประกอบกับยังไม่มีแรงซื้อจากต่างชาติเข้ามา เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาด “หุ้นไทย” วันนี้ (12 พ.ค. 66) ผันผวนในทิศทางปรับตัวลดลงเกือบทั้งวัน ซึ่งดัชนีทำต่ำสุดอยู่ที่ 1,536.82 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,541.38 จุด ลดลง 19.97 จุด หรือ 1.28% มูลค่าซื้อขาย 68,380.32 ล้านบาท

หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่

1. GULF  มูลค่า 3,641.33  ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 48.00 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 8.57%

2.CPALL มูลค่า 2,951.66 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 64.75 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 2.63%

3. ADVANC มูลค่า 2,879.04 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 211.00 บาท ลดลง 10.00 หรือ 4.52%

4.KBANK มูลค่า 2,814.35 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 137.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 1.11%

5. AOT มูลค่า 2,755.26 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 73.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาปิดก่อนหน้า

นาย อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ไม่มั่นใจในทิศทางของตลาดหุ้น หลังเลือกตั้ง เพราะวันนี้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเยอะมาก รวมทั้งแรงซื้อจากต่างชาติก็ยังน้อย ทั้งหมดเป็นเพราะบรรดานักลงทุนยังไม่มั่นใจสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาล

“สถานการณ์ในตลาดหุ้นหลังเลือกตั้งเป็นไปไม่ตามที่คาดการณ์ไว้ และผิดไปจากสถิติในอดีต ดังนั้นอาจจะต้องดูความคืบหน้าของสถานการณ์ไปทีละขั้น ดูว่ามีการเจรจากันไหม จะเริ่มจับมือจัดตั้งรัฐบาลกันอย่างไร หรือจะอิงเสียงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หรือไม่”

วันพรุ่งนี้ (16 พ.ค.) ดัชนีฯ จะยังคงลบอยู่และยังไม่มีทีท่าจะรีบาวด์ จนกว่าสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลจะชัดเจนมากขึ้น ประเมินแนวรับวันพรุ่งนี้อยู่ที่ 1,520 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ 1,570 จุด

ทั้งนี้ แนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นกลุ่มพลังงาน และไปลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้ง เช่นการบริโภคภายในประเทศ เพราะไม่ว่าอย่างไร แต่ละพรรคการเมืองก็ต้องกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศอยู่แล้ว