กูรูฟันธง หุ้นไทย 'รีบาวด์4-5%' รับผลเลือกตั้ง ระวังช่วงสูญญากาศการเมือง

กูรูฟันธง หุ้นไทย 'รีบาวด์4-5%' รับผลเลือกตั้ง ระวังช่วงสูญญากาศการเมือง

กูรูหุ้นไทย คาด SET เปิดตลาดรับผลเลือกตั้งพรุ่งนี้ (15 พ.ค.) ปรับขึ้นทุกเงื่อนไข แต่หากฝั่งเสรีนิยม-ก้าวไกล เสียงชนะขาด เพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ ดัชนีตอบรับดีกว่า ฝั่งอนุรักษ์นิยม -รัฐบาลชุดเดิม คาดจังหวะแรกดัชนีฯ ขึ้น 4-5%ไม่ทะลุไฮเดิม 1,650 จุด ลุ้นตั้งรบ.ใหม่ใน ส.ค.นี้

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวในรายการ SPECIAL LIVE กรุงเทพธุรกิจ  "3เงื่อนไข ตั้งรัฐบาล SET ทะยาย 100 จุด ?" ว่า  ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการรับเลือกตั้งปี 66 ในวันพรุ่งนี้ (15 พ.ค.)  คาดว่า ตลาดหุ้นไทยตอบรับเชิงบวก ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร  แต่ยังขึ้นไม่สุดในจังหวะแรก คาดดัชนีฯ ปรับตัวขึ้น 4-5%ไม่ทะลุ 1,650 จุด ไม่เท่าไฮเดิมทำไว้ปรับขึ้น 10% และตลาดยังคงผันผวนในระยะ 3 เดือนครึ่ง 

เพราะหลังจากนี้ การเมืองก็ยังมีความไม่แน่อนอยู่มาก  คาดว่า กว่าจะได้นายกและรัฐบาลใหม่อย่างเป็นทางการ น่าจะใช้ระยะเวลาไม่น่าเกิน 3 เดือนครึ่ง  หรือไม่เกินเดือนส.ค.นี้  ถือว่า เป็นสูญญากาศทางการเมืองที่ค่อนข้างหน้า 

ในช่วงเวลาดังกล่าว ตลาดคงรอดูกระแสการเมืองจะจับขั้วกันอย่างไร แต่หากมีความชัดเจนโหวตนายกและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว  รัฐบาลใหม่ประกาศนโยบายเศรษฐกิจ มีหน้าตาครม.ชัดเจน ไม่เกิดความวุ่นวาย การประท้วงลงถนน การปฏิวัติ ในจังหวะที่สองนี้ ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุน ทั้งจากก่อนการเลือกตั้ง หุ้นไทยปรับตัวต่ำกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค รวมถึงเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่อได้ จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก  ขณะที่ประเทศอื่นๆประสบปัญหาเศรษกิจถดถอย

 "ดังนั้นหากเราไม่สะดุดขาตัวเองจากการเมืองในประเทศ ไม่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองมาประท้วงหรือปฏิวัติ  แน่นอนว่า นักท่องเที่ยวต่างประเทศยังเดินทางเข้ามาและการลงทุนต่างชาติพร้อมที่จะกลับเข้ามาลงทุนได้ตามปกติ "

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทย แนะว่า นักลงทุนยังต้องวิเคราะห์และเลือกหุ้น โดยเฉพาหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ  ได้แก่ หุ้นดีเฟนซีฟ อย่างกลุ่ม โรงพยาบาล และท่องเที่ยว ทั้งท่องเที่ยวทั่วไปและเพื่อสุขภาพ  น่าจะมีกำไรปรับตัวดีต่อเนื่องได้ทำให้ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวดีเช่นกัน  รวมถึง กลุ่มแบงก์ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติแบงก์รันในต่างประเทศ หนี้เสียแนวโน้มลดลง ปล่อยกู้ได้มากขึ้น ดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว  

และหลังจากนั้นต้องเลือกหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ หรือแม้แต่หุ้นการเมือง อย่างหุ้นตระกูลชินวัตร ซึ่งการเลือกตั้งรอบนี้เพื่อไทยมาแรงน้อยกว่าคาด ทำให้ราคาหุ้นอาจปรับขึ้นไม่มาก แต่เพราะอาจได้เป็นรัฐบาลอยู่ 

ส่วนหุ้นที่ยังต้องระวัง ได้แก่ กลุ่มคอนซูมเมอร์ไฟแนนซ์ มีแนวโน้มหนี้เสียเพิ่มขึ้น และกลุ่มส่งออก  ที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากเศรษฐกิจนอกประเทศเสี่ยงถดถอยและชะลอตัว ทั้ง อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ขึ้นอยู่กับดีมานส์อาจไม่ได้ฟื้นตัวได้ดีนัก  และกลุ่มน้ำมันและปิโตรเลียม  หากราคาน้ำมันยังทรงตัวและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกดดันได้  


"ในจังหวะแรกดัชนีฯ ปรับขึ้นแต่ยังไม่สุด หุ้นทุกกลุ่มน่าจะปรับขึ้นได้ แต่ไม่เท่ากัน เพราะเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังฟื้นตัวแบบเคเชฟ และยังต้องรอความชัดเจนรัฐบาลใหม่ว่าจะมีการประกาศนโยบายเศรษฐกิจชัดเจนอย่างไรบ้าง"   

  
นายเกษม กล่าวว่า แม้ว่าพรุ่งนี้ (15 พ.ค.) เราจะรู้ผลการเลือกตั้งชัดเจนแล้ว แต่กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้  ยังต้องรอกระบวนการตรวจสอบรับรองผลการเลือกตั้งของกกต. อาจมีการแจกใบแดงใบเหลือง มีผลต่อคะแนนจะปรับเปลี่ยนขึ้นหรือลงได้  และการโหวตเลือกนายกฯ ของสว.ในสภาฯ  ซึ่งในระยะเวลา3เดือนครึ่งหรือไม่น่าเกินเดือนส.ค. นี้ การเมืองอาจพลิกได้ตลอดเวลา  ทุกกรณี
 
มองว่า พรรคก้าวไกล ผลคะแนนเสียง เลือกตั้งชนะขาด ซึ่งก่อนหน้าประกาศจับขั้วฝ่ายค้านในสภาฯจัดตั้งรัฐบาลชัดเจน กรณี ฝ่ายเสรีนิยมชนะ  มีโอกาสเป็นไปได้มาก และปกติแล้ว สว.ฯจะไม่โหวตสวนกับเสียงประชาชน คาดว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นมากกว่า ถ้ารัฐบาลชุดเดิม ผลคะแนนเสียงเลือกตั้งชนะขาด กรณี ฝ่ายอนุรักษ์นิยม พลิกมาชนะ   

"หากฝ่ายเสรีนิยมชนะเลือกตั้งได้ ตลาดยิ่งบวกมากกว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ชนะ เพราะว่า พรรคก้าวไกล มีการประกาศนโยบายเศรษฐกิจและการประกาศจับมือทางการเมืองหากชนะเลือกตั้งคือจับกับฝ่ายค้านในสภาฯ ไม่เอาลุง  ถือว่ามีคนความชัดเจนมากกว่าคนอื่น และทำให้เพื่อไทยไม่ได้ 
แลนด์สไลด์ "  

แต่หลังจากนี้ ก็ต้องไปลุ้นกันต่อในการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล และ การโหวตนายกฯ ในสภาฯ  เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติ ยังค่อนข้างกังวล หากไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะกรณี สวฯ โหวต แม้ฝ่ายเสรีนิยม จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ก็ตาม  แต่ก็สะท้อนว่า เป็นรัฐบาลรักษาการหรือรัฐบาลชั่วคราว อยู่ไม่นาน เศรษฐกิจไม่ดี   นักลงทุนคงชะลอการลงทุน ไม่มาแน่นอน 

หรือหากเกิดกรณี  ประท้วงลงถนน หรือการปฏิวัติรัฐประหาร แน่นอนเป็นความเสี่ยงสำหรับตลาด หุ้นไทยร่วงแน่นอน และนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่มา เพราะกลัว ยิ่งไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยปีนี้   ห

นอกจากนี้ หากการโหวตเสียงของสว.ในสภา เกิดกรณี เดทล็อก คาดว่า นักลงทุนต่างชาติต้องไม่เข้าใจ เพราะตอนนี้ เท่าที่คุยพบว่า ต่างชาติยังไม่เข้าใจ ส่วนตัวได้อธิบาย ว่าการเมืองไทย ไม่ได้อะไรตรงไปตรงมา แม้ชนะเลือกตั้งแล้ว ไม่ใช่ว่าจะเป็นนายกหรือจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ต้องรอสว.โหวตด้วย  มองว่า สว.คงไม่โหวตส่วนกระแสเสียงของประชาชน  ทุกฝ่ายต้องให้โอกาสคนที่ประชาชนเลือกเข้ามาบริหารประเทศ 4 ปี ทำไม่ดี ก็เลือกตั้งใหม่  เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ไม่เช่่นกันทุกอย่างก็วนกลับไปเหมือนเดิม 

"   สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ คือ การสร้างความวุ่นวายทางการเมืองในอดีตเป็นบทเรียนที่ว่าเศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าต่อไม่ได้  ไม่เช่นกันทุกอย่างก็วนกลับไปเหมือนเดิม หลังจากนี้ไม่ว่าจะเงื่อนไขใดของการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล อะไรก็เกิดขึ้นได้ "