หุ้นแบงก์ยังน่ากังวล ​​กูรูชี้ S&P 500 ภาคการเงิน จ่อแตะจุดก่อนเกิด ซับไพรม์

หุ้นแบงก์ยังน่ากังวล ​​กูรูชี้ S&P 500 ภาคการเงิน จ่อแตะจุดก่อนเกิด ซับไพรม์

“ดัชนีเอสแอนด์พี 500” ภาคการเงินสหรัฐเคลื่อนไหวใกล้แตะจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ในช่วงก่อนเกิดมหาวิกฤติ “ซับไพรม์” กูรูชี้ หากร่วงลงเกินแนวรับดังกล่าว เศรษฐกิจสหรัฐอาจปั่นป่วนกว่าเดิม และยังไม่ควรเก็บหุ้นแบงก์ตอนนี้ เพราะสถานการณ์ยังไม่สงบ

Key Points

  • S&P 500 ภาคการเงิน จ่อแตะจุดสูงสุดในช่วงก่อนเกิดซับไพรม์
  • นักวิเคราะห์ ประเมิน หากดัชนีเคลื่อนไหวต่ำกว่าจุดดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแย่ลง
  • ตลาดหุ้นสหรัฐจะไม่เข้าสู่สภาวะกระทิง ถ้าหุ้นยังตกอยู่แบบนี้

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ (8 พ.ค.) ว่า แรงเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐช่วงที่ผ่านมาสร้างแรงกดดันให้ราคาของบรรดาหุ้นธนาคารย่อตัวต่ำลงกว่าเกณฑ์ทางเทคนิค ซึ่งหากราคาหุ้นในภาคการเงินอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อเนื่องให้ตลาดหุ้นสหรัฐในภาพรวมอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก

มากไปกว่านั้น จากการล่มสลายของเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRC เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากกังวลถึงความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ระดับภูมิภาคของสหรัฐ 

โดยช่วงที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนต่างเทขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวจนทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ในภาคการเงินเข้าใกล้จุดที่อยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของดัชนีก่อนเกิดวิกฤติสินเชื่อซับ ไพรม์ ในปี 2007 ซึ่งหลังจากวิกฤติดังกล่าวก็ใช้เวลาหลายปีก่อนที่ดัชนีฯ จะกลับมาที่จุดเดิม

ด้าน จิม รอปเปล (Jim Roppel) ผู้ก่อตั้ง รอปเปล แคปปิตอล แมเนจเม้นท์ (Roppel Capital Management) บริษัทจัดการสินทรัพย์สัญชาติอเมริกัน กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2021 เป็นต้นมา ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในภาคการเงินก็เคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับสูงสุดของปี 2007 มาโดยตลอด ซึ่งถ้าหากดัชนีฯ หลุดแนวรับดังกล่าวไป ก็นับว่าเป็นสัญญาณร้ายต่อตลาดหุ้นสหรัฐในวงกว้าง

“หากดัชนีฯ หลุดแนวรับดังกล่าวไป อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมจนภาคธนาคารพาณิชย์สหรัฐต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงถดถอย หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบสูงลิ่วในช่วง 14 เดือนที่ผ่านมา” 

ทั้งนี้ รอปเปล กล่าวต่ออีกว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐจะไม่เข้าสู่สภาวะกระทิง ถ้าหุ้นยังตกอยู่แบบนี้” พร้อมเสริมว่า “ทั้งหมดเป็นเหมือนกับ คุณเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่มีก้อนอิฐวางไว้รอบขาของคุณ”

สัปดาห์แห่งความวุ่นวาย

บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ประเมินว่า ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของระบบธนาคารในสหรัฐมีส่วนทำให้ “สัปดาห์แห่งความวุ่นวาย” เกิดขึ้น เนื่องจากนักลงทุนวางเดิมพันกับบรรดาหุ้นธนาคารพาณิชย์อย่างร้อนแรง จากราคาหุ้นที่ดีดตัวขึ้นในวันศุกร์

ขณะที่หุ้นหลายตัวก็ยังปรับฐานลงอย่างต่อเนื่อง เช่น Western Alliance Bancorp หรือ WAL และ PacWest Bancorp หรือ PACW ร่วงลง 27% และ 43% ตามลำดับ

ขณะที่ ข้อมูลซึ่งรวบรวมโดย เจ พี มอร์ แกน เชส (J.P. Morgan Chase) ระบุว่า นักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อหุ้นธนาคารบางส่วนท่ามกลางการปรับฐานของหุ้นกลุ่มธนาคารจนถึงวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งมีการซื้อสุทธิในหุ้นของ Bank of America หรือ BofA, Truist Financial หรือ TFC และ SoFi Technologies หรือ SOFI

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก วอลสตรีทส่วนหนึ่ง กังวลว่า ความปั่นป่วนในภาคธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐครั้งนี้จะยิ่งส่งผลให้บรรดาธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อยากขึ้นไปอีก โดยในความเป็นจริง ปัจจุบันบรรดานักลงทุนอยู่ในช่วงเดิมพันว่าอาจมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารเข้าไปอีกจนพวกเขากล้าเพิ่มปริมาณความเสี่ยง เพราะคาดว่าเฟดอาจเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินทันทีในเดือน ก.ค. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ถึงอย่างนั้น แนนซี เทนเลอร์ (Nancy Tengler) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ ลัฟเฟอร์ เต็งเลอร์ อินเวสเม้นท์ (Laffer Tengler Investments) กล่าวว่า ขณะนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะกลับไปซื้อหุ้นของธนาคารที่เพิ่งจะย่อตัวลง ในทางตรงกันข้าม ควรพิจารณาซื้อหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคของประชาชน เพราะจะได้ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาบริษัทของเธอจะเก็บหุ้น พีเอ็นซี ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กรุ๊ป (PNC Financial Service Group) บริษัทให้บริการทางการเงินสัญชาติอเมริกันเพราะกำไรและเงินฝากเติบโตก็ตาม

“มันไม่ฉลาดเลยที่จะไล่ซื้อหุ้นธนาคารเหล่านี้” เทนเลอร์กล่าว พร้อมเสริมว่า “คุณต้องปล่อยให้มีดเหล่านั้นร่วงลงมา ไม่ต้องเข้าไปรับมัน”

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวกลับขึ้นมาในวันศุกร์เพราะได้รับแรงหนุนจากรายงานการจ้างงานเดือน เม.ย.ที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลว่าจะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตาม ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้น 1.9% ทว่าหุ้นในกลุ่มการเงินกลับร่วงลง 2.7% ตลอดเซสชั่นการซื้อขาย 5 ช่วง

ด้าน สกอตต์ โคลิเออร์  (Scott Colyer) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ แอดไวเซอร์ส แอสเสท แมเนจเม้นท์ (Advisors Asset Management) บริษัทจัดการสินทรัพย์สัญชาติอเมริกัน กล่าวว่า จากการประเมิน มูลค่าของหุ้นสหรัฐยังสูงอยู่ ดังนั้นถ้าจะให้สถานการณ์เป็นบวกมากขึ้น เอสแอนด์พี 500 อาจต้องปรับฐานลงไปที่ 3,600 จุดหรือต่ำกว่านั้น โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีฯ ปิดตัวอยู่ที่ 4,136 จุด

“เราต้องการเห็นหุ้นธนาคารพุ่งขึ้นอย่างยั่งยืน แต่ตอนนี้กลับปรับตัวขึ้นแบบผันผวน” โคลิเออร์กล่าว พร้อมเตือนว่า “อย่างห่วงกำไรเล็กๆ น้อยๆ แล้วเอาตัวเองไปเสี่ยงกับความเสี่ยงหายขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น”