หุ้นกลุ่ม JMART ไม่ฟื้น เปิดเช้านี้ร่วงต่อยกแผง กังวลกำไรแย่ หนี้เสียพุ่ง

หุ้นกลุ่ม JMART ไม่ฟื้น เปิดเช้านี้ร่วงต่อยกแผง กังวลกำไรแย่ หนี้เสียพุ่ง

หุ้นกลุ่ม JMART ยังไม่ฟื้น เปิดตลาดร่วงยกแผง โบรกเกอร์ชี้นักลงทุนคาดผลประกอบการไตรมาส 1 ย่ำแย่ แถมหนี้เสียส่อเพิ่ม ขณะที่บันทึกขาดทุนจากเงินลงทุน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นกลุ่ม เจมาร์ท ประกอบด้วย บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ JMART บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด(มหาชน) หรือ JMT บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท  จำกัด(มหาชน) หรือ J บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SINGER และ บริษัท เอส จี แคปปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ SGC เปิดตลาดซื้อขายเช้าวันนี้ (3 พ.ค.) ราคายังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวานนี้ (2 พ.ค.) ท่ามกลางกระแสข่าวที่ไม่ชัดเจน หลังผู้บริหารระดับสูงของ SINGER ลาออก ขณะที่โบรกเกอร์หลายแห่งแนะนำนักลงทุนให้ "เลี่ยง" การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เนื่องจากข้อกังวลของหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

JMART เปิดตลาดที่ 18.40 บาท ลดลง 0.30 บาท เช่นเดียวกับ JMT เปิดตลาดที่ 37 บาท ลดลง 0.50 บาท รวมถึง J เปิดที่ 2.92 บาท ลดลง 0.02 บาท SGC เปิดที่ 21.4 บาท ลดลง 0.12 บาท หรือ 5.31% และ SINGER เปิดตลาดที่ 12.40 บาท ลดลง 0.50 บาท 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ท ที่ปรับตัวลงแรง คาดว่าเป็นผลจากนักลงทุนคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2566 ออกมาไม่ดี ซึ่งส่วนตัวคาดว่าอาจจะออกมาต่ำที่สุดของปีนี้ โดยเฉพาะงบของ SINGER , SGC และ JMART  ที่จะออกมาไม่ดี เพราะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ปรับตัวขึ้นสูง ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 จึงทำให้งบของJMART ซึ่งเป็นบริษัทแม่ไม่ดีไปด้วย

ทั้งนี้คาดว่า SINGER และ SGC จะใช้เวลาในการแก้ปัญหาหนี้เสียครึ่งปีแรก โดยการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยึดไว้นำมาขายในราคาที่มีส่วนลด และควบรวมการปล่อยสินเชื่อไม่ให้เป็น NPLเพิ่ม รวมถึงJMART ได้มีการไปลงทุนหุ้นอื่นๆ ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลดลง จึงทำให้ต้องมีการบันทึกผลขาดทุนทางบัญชี (Mark to Marke) ในไตรมาส 1 ปีนี้

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า  ราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ทที่ปรับตัวลงแรง คาดเกิดจากนักลงทุนลดน้ำหนักลงทุนจากหุุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทั้งในด้านของราคาหุ้น และผลประกอบการ

รวมถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในระยะข้างหน้าแม้ผลดำเนินงานจะเติบโต แต่ก็จะไม่โดดเด่นเหมือนกับในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับที่ผ่านมากลุ่มเจมาร์ทได้ไปจับมือกับพันธมิตร และเข้าถือหุ้นต่างๆ ราคาหุ้นที่เข้าลงทุนก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน 

 “กลุ่มค้าปลีกภาพใหญ่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่หุ้นที่จะได้รับผลดีจะเป็นกลุ่มค้าปลีกที่เกี่ยวกับการบริโภคเป็นหลัก ส่วนค้าปลีกที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ไอทีนั้นได้ผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้ว ในช่วงWork From Home จึงลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้”

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์