"หุ้น รพ." ขึ้นแท่นรับผลบวก ภัยฝุ่น - โควิดพันธุ์ใหม่ – เพิ่มประกันสังคม

"หุ้น รพ."  ขึ้นแท่นรับผลบวก ภัยฝุ่น - โควิดพันธุ์ใหม่ – เพิ่มประกันสังคม

กลับสู่โหมดการทำงานอีกครั้งหลังหยุดสงกรานต์ ซึ่งมาพร้อมกับปัญหาสารพัดโรคที่เกิดจากโควิด-19 ที่มีสัญญาณของไวรัสพันธุ์ใหม่ หลังพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนลูกผสม และปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ล้วนแต่มีผลต่อหุ้นโรงพยาบาลทั้งสิ้น

โดยปัจจัยจากโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นไปตามการคาดการณ์ หลังจากเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา  แต่ด้วยการเปิดประเทศของทั่วโลก การได้รับวัคซีนป้องกัน  และการกลับมาใช้ชีวิตนิวนอร์มอล ทำให้ความหวาดกลัวต่อโควิด-19 ระลอกนี้ไม่ได้รุนแรงเหมือนช่วงแรก           

ทั้งนี้ยังต้องติดตามความคืบหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ XBB.1.16 (อาร์คทูรัส) ระลอกใหม่ ซึ่งต้องรอดูว่ากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะมีมาตรการรับมืออย่างไรกับแนวโน้มการพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 2.5 เท่าตัว เนื่องจากสามารถแพร่ระบาดได้สูงกว่าสายพันธุ์ในอดีต

ล่าสุด ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี เผยว่า พบโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 จำนวน 8 ราย และหนึ่งในแปดพบว่ามีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมเป็น XBB.1.16.1 ซึ่งโอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด และคาดว่าจะเข้ามาแทนที่ BN1.3 และ XBB.1.5 ได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้

ถัดมาปัญหาเดิมๆ แต่รุนแรงมากขึ้นทุกปีสำหรับฝุ่น PM 2.5 ณ 18 เม.ย.มีการรายงานค่าตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากปัจจัยต่างๆ ภายในประเทศ เช่น การจราจร โรงงานอุตสาหกรรม หรือการกำจัดวัชพืชโดยการเผาแล้ว ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ของประเทศเพื่อนบ้านด้วย ถือว่าเป็นภัยเงียบที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา

และล่าสุด กลุ่มโรงพยาบาลรับประกันสังคมจากช่วงก่อนสงกรานต์ สำนักงานประกันสังคม (สปส.)ปรับอัตราเหมาจ่ายรายหัวจากเดิมขึ้น 10.2% หลังประชุมคณะกรรมการประกันสังคม มีมติเห็นชอบให้สำนักงานประกันสังคมจ่ายค่าบริการทางการแพทย์กรณีเหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาในอัตรา 1,808 บาท ต่อผู้ประกันตนหนึ่งคนต่อปี เพิ่ม 10.2% จาก 1,640 บาท  มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2566 เป็นต้นไป  ซึ่งการปรับค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคมรอบนี้ที่ 10.2% สูงกว่าปกติที่ขึ้นเพียง 3-5% และไม่มีการขึ้นมากว่า 4 ปี

ปัจจัยดังกล่าวถือว่าเป็นแรงหนุนให้กับหุ้นโรงพยาบาลรายตัวเริ่มจาก บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กรุงศรี พัฒนสิน   กรณี สปส. ปรับเพิ่มค่ารักษาพยาบาล เป็นปัจจัยบวก   BCH – CHGและ  RJH  เพราะจะได้ประโยชน์โดยตรงจากอัตราค่ารักษากลุ่มประกันสังคมเพิ่มขึ้นราว  4-5% จากปัจจุบันเบื้องต้นประเมิน ต่อกำไรสุทธิของ  BCH และCHG  เพิ่มขึ้นราว 5% และ4% ตามลำดับส่วน RJH เน้นเทรนดิ้ง

ด้าน บล.ดาโอ มีมุมมองต่อฐานลูกค้ากลุ่มต่างชาติยังเพิ่มขึ้น ประเมิน  BDMS มีกำไรไตรมาส 1/ 2566 ที่ 3,364 ล้านบาท (+8% QoQ, -2% YoY) จากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติของกลุ่มผู้ป่วยประเทศ CLMV ที่เติบโตมากกว่าช่วงระดับก่อนโควิด ขณะผู้ป่วยไทยฟื้นตัวต่อเนื่องหากไม่รวมโควิดรายได้ผู้ป่วยไทยเติบโตต่อเนื่องจากโรคเรื้อรัง

ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 13,232 ล้านบาท (+5% YoY) จากฐานที่สูง จากการขยายฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่มจากประเทศบังกลาเทศ และซาอุฯ ส่วนลูกค้าในประเทศมาจากการขยายตลาดประกันสังคม และผู้สูงอายุ โดยตลาดทั้งสองนี้จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการให้กับโรงพยาบาล ทำให้สามารถรักษาอัตราการครองเตียงไว้ในระดับสูงได้

ส่วน รพ.ขนาดเล็ก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนวโน้ม ไตรมาส 1/2566 รายได้จะชะลอตัว เนื่องจากรายได้โควิด-19 ลดลง  แต่หากเทียบปีก่อนไม่นับรวมรายได้เกี่ยวกับการให้บริการรักษาโควิด-19 และการขายวัคซีนModerna ที่มีสัดส่วน15% และ 6% ของรายได้รวมตามลำดับ

ประเด็นเรื่องการปรับขึ้นค่าหัวประกันสังคม บริษัทจะได้ผลบวกทางอ้อมจากการถือหุ้น CPR83.55% โดย CPR มีสัดส่วนรายได้ประกันสังคมราว 24%และบริษัทยังมองหาช่องทางเป็นพันธมิตรเข้าลงทุนหรือM&A  เพื่อจะรองรับการเติบโตของบริษัทต่อเนื่องในอนาคต

และ BH  ผู้บริหารตั้งเป้าปี 2566 จำนวนผู้ป่วยยังเติบโต 8% ราคาเฉลี่ยปรับขึ้นราว 4.6%โดยผู้บริหารเชื่อว่า pent-up demand จากผู้ป่วยต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้ามารับการรักษาในไทยยังมีถึงปี 2566 โดยเฉพาะลูกค้าจากตะวันออกกลาง และลูกค้าในแถบอินโดจีน ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักประเทศเดิมอยู่แล้ว และมีการบุกเจาะตลาดประเทศใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงมาก อย่าง ซาอุดีอาระเบีย โอมาน เวียดนาม และจีน

ตั้งเป้ารายได้ไตรมาส 1 /2566 เติบโต 2 หลักโดยจำนวนผู้ป่วยต่างชาติยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลาดใหม่ๆ อย่าง ผู้ป่วยจากประเทศโอมาน และซาอุดีอาระเบีย ขณะที่ต้นปี 66 ประเทศจีนเริ่มเปิดประเทศ ทำให้ผู้ป่วยจากจีน ที่มี pent-up demand จำนวนมากมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัย โดยชาวจีนส่วนใหญ่จะใส่ใจด้านสุขภาพ นิยมเดินทางมารักษาด้าน Vital life หรือเวชศาสตร์ชะลอวัย เพื่อป้องกันหรือชะลอปัจจัยต่างๆ อันอาจมีผลต่อสุขภาพ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์