BJC ยื่นไฟลิ่ง ‘บิ๊กซี รีเทล’ ขาย IPO 3.72 พันล้านหุ้น ขยายธุรกิจ-คืนหนี้

BJC ยื่นไฟลิ่ง ‘บิ๊กซี รีเทล’ ขาย IPO 3.72 พันล้านหุ้น ขยายธุรกิจ-คืนหนี้

BJC ส่ง "บิ๊กซี รีเทล" ยื่นไฟลิ่งแล้ว เสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 3.72 พันล้านหุ้น ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หวังนำเงินใช้ขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และชำระคืนเงินกู้ยืม

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BRC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ยื่นแบบคาขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวนเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 3,729,999,999 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นไม่เกิน 29.98% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.กสิกรไทย บล.บัวหลวง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

สำหรับ วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุนเพื่อลงทุนขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ, ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

บิ๊กซี รีเทล เป็นบริษัทเรือธง (Flagship Company) สำหรับธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และธุรกิจค้าส่งและสนับสนุนการค้าปลีกแบบดั้งเดิมของกลุ่ม BJC และกลุ่ม TCC ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พอร์ตโฟลิโอเป็นร้านค้าหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตภายใต้แบรนด์ บิ๊กซี ร้านค้าปลีกและผู้เช่าพื้นที่ในร้านค้าต่าง ๆ โดยนอกจากเป็นพื้นที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจสนับสนุนอื่น ๆ แล้ว รูปแบบร้านค้าดังกล่าวยังช่วยสนับสนุนธุรกิจการขายส่งให้กับลูกค้าผ่านการดำเนินธุรกิจแบบ B2B และธุรกิจสนับสนุนการค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ของบริษัทฯ อีกด้วย

การดำเนินธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจค้าส่งของบริษัทฯ ยังครอบคลุมไปถึง การสั่งผลิต การนำเข้าและการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาและการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ อันมีส่วนเกี่ยวข้องเกื้อหนุนกับการค้าปลีก และ/หรือการค้าส่งของกลุ่มบริษัทฯ ด้วย

บริษัทนำเสนอรูปแบบการค้าปลีก การค้าส่ง และการสนับสนุนการค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ครอบคลุม และนำเสนอสินค้าที่คุ้มค่าและหลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความชื่นชอบที่แตกต่างกันของกลุ่มลูกค้าและผู้เช่าพื้นที่ ทั้งทางช่องทางออนไลน์ผ่าน Omnichannel Platform และช่องทางออฟไลน์โดยอาศัยพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) ของบริษัทฯ และเครือข่ายกลุ่มธุรกิจรวมถึงร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม

 

บริษัทดำเนินธุรกิจหลากหลายรูปแบบ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ (1) ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (2) ธุรกิจค้าส่งและสนับสนุนการค้าปลีกแบบดั้งเดิม และ (3) ธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย และมีธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่บางส่วนในกัมพูชา

ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานรูปแบบร้านค้าขนาดใหญ่ 200 แห่งในประเทศไทย และ ร้านค้าขนาดใหญ่ 1 แห่งในกัมพูชา และบริษัทมีรูปแบบร้านค้าขนาดเล็กรวม 1,509 สาขา (ในจำนวนนี้มีร้านค้า 55 สาขาในประเทศไทย ดำเนินงานโดยผู้รับแฟรนไชส์ที่เป็นบุคคลภายนอก และ 60 สาขาในประเทศลาว ซึ่งบุคคลภายนอกเป็นเจ้าของและได้รับสิทธิให้ใช้เครื่องหมายการค้าในการดำเนินงาน ในขณะที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินงานร้านค้าที่เหลือจำนวน 1,394 สาขา)

รูปแบบร้านค้าขนาดเล็กของบริษัท ประกอบด้วยร้านค้าบิ๊กซี มินิ 1,430 สาขาในประเทศไทย และ 17 สาขาในกัมพูชา และร้านค้า Kiwi Mart จำนวน 2 สาขาในกัมพูชา อยู่ระหว่างการรีแบรนด์เป็นร้านค้าภายใต้แบรนด์บิ๊กซี และบริษัทยังได้มีการให้สิทธิการใช้เครื่องหมายการค้า "B?s Mart" แก่บุคคลภายนอกเพื่อดำเนินงานร้านสะดวกซื้อในประเทศเวียดนาม ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 มีร้านค้า B?s Mart จำนวน 78 สาขา ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับโอนเครื่องหมายการค้า "B?s Mart" จาก BJC ในปี 66

บริษัทดำเนินธุรกิจตลาด Open-Air เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีก (Retail Space) เพื่อจำหน่ายอาหารสด อาหารปรุงสุก และสินค้าอุปโภคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารหลากหลายประเภท โดยในปัจจุบัน บริษัทดำเนินงานตลาด Open-Air 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) ตลาดกลางคืน (ภายใต้แบรนด์ตลาดเดินเล่น) และ 2) ตลาดสดกลางวัน (ภายใต้แบรนด์ตลาดครอบครัวและตลาดทิพย์นิมิตร) ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 บริษัทเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินงานตลาด Open-Air จำนวน 7 แห่งในประเทศไทย

นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของบริษัทฯ ยังรวมถึงร้านค้าบิ๊กซี ฟู๊ด เซอร์วิส ร้านค้าบิ๊กซี ดีโป้ และ Omnichannel Platform บริษัทมีร้านค้าบิ๊กซี ฟู๊ด เซอร์วิส 3 สาขาในประเทศไทย ร้านค้าบิ๊กซี ดีโป้ 11 สาขาในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังให้บริการผ่าน Omnichannel Platform ด้วยช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์บิ๊กซี ออนไลน์ แอปพลิเคชันบิ๊กซี พลัส (Big C PLUS)

บริษัทยังดำเนินธุรกิจให้เช่าพื้นที่ (Town Center Business) ในพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) หลากหลายประเภทของร้านค้าบิ๊กซีของบริษัทฯ (ซึ่งประกอบด้วย รูปแบบร้านค้าขนาดใหญ่ ร้านค้าบิ๊กซี ฟู๊ด เซอร์วิส และร้านค้าบิ๊กซี ดีโป้) โดยบริษัทฯ ให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก (Retail Space) ภายในพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) ดังกล่าวกับกลุ่มผู้ประกอบการภายนอกและแบรนด์ร้านค้าของบริษัท

ธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ (1) ร้านขายยาเพรียว เป็นเครือข่ายร้านขายยาที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) ของบิ๊กซีที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา สินค้าด้านสุขภาพและความงาม และให้บริการด้านเภสัชกรรมแก่ลูกค้ารายย่อย โดยมีร้านขายยาเพรียว 146 สาขาในประเทศไทย

(2) ร้านขายยาสิริฟาร์มา ซึ่งเป็นร้านขายยานอกพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) มี 1 สาขาในประเทศไทย

(3) ร้านกาแฟวาวี ในประเทศไทยทั้งหมด 60 สาขา (ประกอบด้วยร้านที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของและดำเนินงานเองจำนวน 52 ร้านและร้านแฟรนไชส์จำนวน 8 ร้าน)

(4) บริษัท เอเซียบุ๊คส จำกัด นำเข้าและจัดจำหน่ายหนังสือและนิตยสารผ่านเครือข่ายร้านหนังสือภายใต้แบรนด์ "เอเซียบุ๊คส" และ "บุ๊คกาซีน" ในประเทศไทย และจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าองค์กรในประเทศอื่นๆ เช่น ลาว และกัมพูชา โดยมีร้านหนังสือ 54 สาขาในประเทศไทย

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการสนับสนุนด้านต่าง ๆ โดยให้บริการรับชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์ Big Service แก่ลูกค้าในร้านค้าบิ๊กซี และให้บริการด้านทรัพยากรบุคคลในการส่งผู้บริหารเพื่อให้บริการบริหารจัดการแก่กลุ่ม TCC ในการดำเนินงานของร้านค้า MM Mega Market ของ MMVN ในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ยังให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลแก่ผู้จัดหาสินค้า (Supplier) ของร้านค้าบิ๊กซีบางราย โดยวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บและรวบรวมจาก Omnichannel Platform นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้เช่าพื้นที่โฆษณาภายในพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) ด้วย

โครงสร้างผู้ถือหุ้นในปัจจุบันมี BJC ถือหุ้นทั้ง 100%

ผลประกอบการในช่วงปี 63-65 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 100,534.2 ล้านบาท 91,678.0 ล้านบาท และ 96,984.7 ล้านบาท ตามลำดับ และรายได้จากค่าเช่าและบริการ 8,924.7 ล้านบาท 7,802.7 ล้านบาท และ 9,099.4 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีผลขาดทุนสุทธิในปี 63 ราว 709.5 ล้านบาท ก่อนจะผลิกมามีกำไรในปี 64 ที่ 7,332.8 ล้านบาท และปี 65 ที่ 6,756.8 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 336,832.5 ล้านบาท หนี้สินรวม 155,659.6 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 181,172.9 ล้านบาท

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ ใช้หลักเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิของผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มบริษัทฯ โดยไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและข้อบังคับบริษัทกำหนดไว้