หุ้น ‘ค้าปลีก’ รับอานิสงส์เลือกตั้งเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน

หุ้น ‘ค้าปลีก’ รับอานิสงส์เลือกตั้งเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน

ประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง หลังนายกฯ ประกาศยุบสภาไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และล่าสุด กกต. เปิดไทม์ไลน์การเลือกตั้งออกมาแล้ว

โดยกำหนดวันเลือกตั้งล่วงหน้า 7 พ.ค. และเคาะวันเลือกตั้งจริง 14 พ.ค. ที่คนไทยจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกนักการเมืองที่ชื่นชอบเข้าสู่สภาฯ และเราน่าจะได้เห็นโฉมหน้าโฉมตาของรัฐบาลใหม่ไม่เกินกลางปี

การเลือกตั้งเป็นอีกอีเวนท์ใหญ่ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จากเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในการหาเสียง โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่ำ 1-1.2 แสนล้านบาท หนุนจีดีพีในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.5-0.7% ส่งผลให้จีดีพีไตรมาส 2 เติบโต 3-4%

กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คึกคักในช่วงการเลือกตั้ง ถือเป็นปัจจัยบวกพิเศษให้กับกลุ่มค้าปลีก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพรวมธุรกิจปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น หนุนการใช้จ่ายของภาคประชาชน

และปีนี้จะรับอานิสงส์จากการเปิดประเทศเต็มปี โดย ททท. ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ 30 ล้านคน ซึ่งในช่วง 2 เดือนแรก มีตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสมแล้วกว่า 4 ล้านคน และน่าจะคึกคักยิ่งขึ้นในช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากมีช่วงเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์

ส่วนตลาดไทยเที่ยวไทยก็น่าจะคึกคักไม่แพ้กัน หลังรัฐเดินหน้าโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 ปรากฎว่ากระแสตอบรับยังถล่มทลาย ยอดจองห้องพัก 5.6 แสนสิทธิหมดลงอย่างรวดเร็ว โดยจะสามารถใช้สิทธิเข้าพักได้ถึง 30 เม.ย. นี้

แน่นอนว่าเมื่อการท่องเที่ยวคึกคักขึ้น การใช้จ่ายต่างๆ ก็จะตามมาด้วย ถือเป็นแรงส่งต่อเนื่องจากช่วงต้นปีที่ได้อานิสงส์จากมาตรการช้อปดีมีคืน โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท ช่วยทำให้ยอดขายสาขาเดิมของแต่ละบริษัทขยายตัวต่อเนื่อง

หุ้น ‘ค้าปลีก’ รับอานิสงส์เลือกตั้งเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน

ด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ได้ทำการศึกษาข้อมูลเชิงสถิติ โดยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีก ช่วงหลังยุบสภาฯ ย้อนหลัง 6 ครั้ง แบ่งเป็นหลังยุบสภาฯ 5 วัน, 10 วัน และ15 วันทำการ พบว่า BJC ปรับตัวขึ้นเฉลี่ยโดดเด่นที่สุด +6.0%, +4.5%, และ +4.9% ตามลำดับ

รองลงมาคือ CPALL +2.1%, +5.0%, และ +0.6% ตามลำดับ ส่วน MAKRO บวกเล็กน้อย +1.4%, +1.1%, +1.9% ตามลำดับ ซึ่งราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัทถือว่า Outperform กลุ่มค้าปลีก และ SET Index อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผนวกกับการบริโภคในปัจจุบันที่ยังเห็นการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายวิจัยคาดว่าเหตุการณ์ในอดีตจะซ้ำรอยเดิมสำหรับการยุบสภาฯ ในรอบนี้

ฝ่ายวิจัยคาดว่าการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหนุนกลุ่มค้าปลีกจาก 2 ประเด็น คือ

1.ปริมาณเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจจากกิจกรรมการเลือกตั้ง ส่งผลดีต่อบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งกำลังซื้อที่เติบโตจะส่งต่อไปยังยอดขายและการรับรู้รายได้ตามกรอบเวลาการเลือกตั้งในช่วงไตรมาส 2 นี้

2.จากสถิติการเปลี่ยนแปลงของ SET Index และ ดัชนีกลุ่มค้าปลีกในช่วงหลังการยุบสภาก่อนการเลือกตั้ง พบว่าทั้ง BJC, CPALL และ MAKRO ราคาเพิ่มขึ้นดีกว่ากลุ่ม

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เลือก CPALL เป็น Top Pick ของกลุ่มค้าปลีก รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวและการเลือกตั้งที่เงินจะสะพัดหมุนเวียนสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจำกัดหลังเกิดปัญหาแบงก์ล้มในสหรัฐ

โดยปีนี้บริษัทจะมีการลงทุนเพิ่ม 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายสาขาในประเทศอีก 700 แห่ง เน้นขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีที่จอดรถ และขยายที่กัมพูชาอีก 30 แห่ง จากที่มีอยู่แล้วมากกว่า 30 แห่ง