‘สตาร์ตอัป’ จีนสะเทือนหลัง SVB ล้ม เหตุฝากเงินไว้จำนวนมาก

‘สตาร์ตอัป’ จีนสะเทือนหลัง SVB ล้ม เหตุฝากเงินไว้จำนวนมาก

สตาร์ตอัปจีนเปิดบัญชีกับ SVB จำนวนมาก เหตุเปิดบัญชีง่าย - ข้อจำกัดน้อย ส่วนธนาคารหลักอื่นมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก - ใช้เวลานาน แหล่งข่าวบริษัทเทคฯ จีนชี้ว่ามีฝากเงินกับ SVB หลายสิบล้านดอลล์ ตอนนี้ก็ยังเหลืออยู่มากกว่า 2.5 หมื่นดอลลาร์

การล่มสลายของ Silicon Valley Bank หรือ SVB ธนาคารที่เน้นให้บริการสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยี ส่งผลสะเทือนไกลถึงกลุ่มบริษัทสตาร์ตอัปสัญชาติจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่รับรองโดยเงินทุนที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ 

แหล่งข่าววงใน ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ตอัปในจีน เปิดเผยต่อสำนักข่าวซีเอ็นบีซี ว่า ที่ผ่านมาระบบเปิดบัญชีออนไลน์ของSVB อนุญาตให้ใช้หมายเลขโทรศัพท์ของจีนลงทะเบียนได้ ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่ไม่ค่อยเปิดให้บริการหมายเลขของจีน โดยขณะนี้บริษัทมีเงินอยู่ใน SVB จำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์ “ก่อนหน้านี้ก็พยายามย้ายเงินออกแล้วบางส่วนแต่ตอนนี้ก็ยังเหลือมากกว่า 2.5 หมื่นดอลลาร์ หรือมากกว่า 8.25 แสนบาท อยู่ดี”

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า นอกเหนือจากการรับรองนักลงทุนแบบ venture capitalist (VC) แล้ว สตาร์ตอัปสามารถเปิดบัญชีกับ SVB ได้โดยใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ “ธนาคารแบบดั้งเดิมในกระแสหลักไม่ว่าจะเป็น Standard Chartered, HSBC หรือ Citi มีข้อจำกัดเยอะกว่า SVB มาก รวมทั้งใช้เวลานานกว่าจะเปิดบัญชีได้ บางทีอาจยาวถึง 3-6 เดือนด้วยซ้ำ”

อีกหนึ่งแหล่งข่าว ซึ่งเปิดบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน (fintech) และบริษัทด้านเทคโนโลยีอีก 2 แห่ง กล่าวว่า นักลงทุนแบบ VC ชอบทำธุรกิจกับ SVB เพราะข้อกำหนดเอื้อกับสตาร์ตอัปอย่างมาก “ถ้าไม่มี SVB บริษัทเทคฯ ในจีนแย่แน่ เพราะแทบจะไม่มีแบงก์ไหนเลยที่ให้บริการเหมือนที่ SVB ทำ”

การเปิดบัญชีธนาคารกับ SVB ช่วยให้สตาร์ตอัปในจีนจำนวนมากเข้าถึงเงินทุนจากนักลงทุนจากสหรัฐได้ ท่ามกลางความขัดแย้งของสหรัฐ-จีน ในประเด็นที่สหรัฐจำกัดการประกาศขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัทจีนในสหรัฐช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

ขณะนี้ทางการยังไม่ทราบตัวเลขของสตาร์ตอัปสัญชาติจีนที่ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ SVB อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวของซีเอ็นบีซีระบุว่า บริษัทดังกล่าวในจีนจํานวนมากที่ได้รับการสนับสนุนจากVC ของสหรัฐและเตรียมจะไปเปิดบัญชีกับ SVB ในช่วงนี้ 

ด้าน Zai Lab บริษัทไบโอเทคโนโลยี สัญชาติจีน ระบุผ่านถ้อยแถลงของบริษัท ว่า ตั้งแต่สิ้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาบริษัทมีเงินอยู่ใน SVB ราว 2.3% ของเงินสด และสินทรัพย์คล้ายเงินสดทั้งหมดประมาณ 1.01 พันล้านดอลลาร์(ประมาณ 3.333 หมื่นล้านบาท) และเงินส่วนที่เหลือส่วนใหญ่อยู่ที่ JPMorgan Chase, Citigroup และ Bank of China ในฮ่องกง

ส่วน Everest Medicines อีกหนึ่งบริษัทด้านไบโอเทคโนโลยี สัญชาติจีน ระบุผ่านแถลงการณ์เช่นกันว่า บริษัทมีเงินฝากอยู่ที่ SVB น้อยกว่า 1% และจะนำเงินฝากทั้งหมดออกมาผ่านช่องทางของบริษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ตามขั้นตอนของทางการต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์