ดาวโจนส์ทรุด 697 จุด กังวลผลประกอบการซบ,บอนด์ยีลด์พุ่ง

ดาวโจนส์ทรุด 697 จุด กังวลผลประกอบการซบ,บอนด์ยีลด์พุ่ง

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(21ก.พ.)ร่วงลง 697 จุด หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทค้าปลีก โดยราคาหุ้นของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 5%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวร่วงลง 697.10 จุด หรือ 2.06% ปิดที่ 33,129.59 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 81.75 จุด หรือ 2.00% ปิดที่ 3,997.34 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 294.97 จุด หรือ 2.50% ปิดที่ 11,492.30 จุด

ราคาหุ้นของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 5% หลังเปิดเผยรายได้ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ส่วนราคาหุ้นของบริษัทวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลก ร่วงลงเช่นกัน แม้เปิดเผยตัวเลขกำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2565 สูงกว่าคาด แต่บริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี 2566 ที่ต่ำกว่าคาด

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนานกว่าคาดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 3 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด และตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับ FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค., พ.ค. และมิ.ย. ครั้งละ 0.25% สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค.

นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมทั้งการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.ในวันนี้(22ก.พ.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด