หุ้นกลุ่ม JMART โดนถล่มร่วงยกแผง มาร์เก็ตแคปวูบตั้งแต่ต้นปี 6.65 หมื่นล้าน

หุ้นกลุ่ม JMART โดนถล่มร่วงยกแผง มาร์เก็ตแคปวูบตั้งแต่ต้นปี 6.65 หมื่นล้าน

หุ้นกลุ่ม JMART  ทั้ง 5 หุ้น ของ "อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา" ราคาดิ่งแรง หลังนักลงทุนพร้อมใจกันเทขายหุ้นออกเกิดความกังวล ไม่มั่นใจ ทำให้มาร์เก็ตแคปรวมทั้ง 5 หุ้น ร่วงลงมาอยู่ที่ 136,549.55 ล้านบาท  ลดลง 66,518.48 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 203,068.03 ล้านบาท

หลังจาก หุ้นกลุ่ม JMART  ทั้ง 5 หลักทรัพย์ ของ "อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา" ถูกเทขายจำนวนมากทำให้ราคาหุ้นปรับระดับลดต่ำลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ หลังจาก ก.ล.ต. รายงานข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร (แบบ 59) ในวันที่ 15 -16 กุมภาพันธ์ 2566 พบผู้ถือหุ้นใหญ่  บมจ.เจ มาร์ท (JMART) 2 ราย คือ นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา และยุวดี พงษ์อัชฌา ภรรยา ขาย Big Lot กว่า 54 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 1,459 ล้านบาท ให้นักลงทุนสถาบัน 

โดยนายอดิศักดิ์ ตัดขาย Big Lot ครั้งนี้มาจากโดน Margin Call จึงทำให้ต้องขายหุ้นจำนวน 14 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.96% ส่งผลถือหุ้นลดลงจาก 13.41% เหลือสัดส่วน 12.45% และนางสาวยุวดี พงษ์อัชฌา ขายหุ้น 40 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.75% ส่งผลถือหุ้นจาก 7.61% เหลือสัดส่วน 4.86%

ประเด็นดังกล่าวทำให้ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 กุมภาพันธ์ 2566) นักลงทุนต่างพร้อมใจกันเทขายหุ้นออก เพราะเกิดความกังวล ไม่มั่นใจ ทำให้มาร์เก็ตแคปรวมทั้ง 5 หลักทรัพย์ ร่วงลงมาอยู่ที่ 136,549.55 ล้านบาท  หรือลดลงไปกว่า 66,518.48 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 203,068.03 ล้านบาท

(ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 17 กุมภาพันธ์ 2566)

หุ้นกลุ่ม JMART โดนถล่มร่วงยกแผง มาร์เก็ตแคปวูบตั้งแต่ต้นปี 6.65 หมื่นล้าน

1.บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT

  • มาร์เก็ตแคป สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 100,681.27 ล้านบาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 66,756.48 ล้านบาท ลดลง 33,924.79 ล้านบาท 
  • ราคาสิ้นปี 2565 ปิดที่ 69.00 บาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ปิดที่ 45.75 บาท หรือลดลง 23.25 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน YTD -33.70%

2.บมจ. เจ มาร์ท หรือ JMART 

  • มาร์เก็ตแคป สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 58,148.31 ล้านบาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 39,711.96 ล้านบาท ลดลง 18,436.35 ล้านบาท
  • ราคาสิ้นปี 2565 ปิดที่ 40.75 บาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ปิดที่ 27.25 บาท ลดลง 13.50 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน YTD -33.13% 

3.บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย หรือ SINGER

  • มาร์เก็ตแคป สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 23,640.16 ล้านบาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 14,226.52 ล้านบาท ลดลง 9,413.64 ล้านบาท 
  • ราคาสิ้นปี 2565 ปิดที่ 28.75 บาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ปิดที่ 17.30 บาท ลดลง 11.45 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน YTD -39.83%

4.บมจ. เอสจี แคปปิตอล หรือ SGC

  • มาร์เก็ตแคป สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 16,219.20 ล้านบาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 11,772.00 ล้านบาท ลดลง 4,447.20 ล้านบาท 
  • ราคาสิ้นปี 2565 ปิดที่ 4.96 บาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ปิดที่ 3.60 บาท หรือลดลง 1.36 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน YTD -27.42%

5.บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J

  • มาร์เก็ตแคป สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 4,379.09 ล้านบาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 4,082.59 ล้านบาท ลดลง 296.50 ล้านบาท 
  • ราคาสิ้นปี 2565 ปิดที่ 3.84 บาท ส่วนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ปิดที่ 3.58 บาท หรือลดลง 0.26 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน YTD -6.77%


ส่วนพอร์ตหุ้นของอดิศักดิ์ ปัจจุบันปรากฎชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 หลักทรัพย์ 

  • บมจ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ GUNKUL ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤจิกายน 2565) จำนวน 166,684,500 หุ้น หรือ 1.88%
  • บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J ถือหุ้นใหญ่อันดับ 8 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 เมษายน 2565) จำนวน 9,468,913 หุ้น หรือ 1.01%
  • บมจ. เจ มาร์ท หรือ JMART ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 (ข้อมูล ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2565) จำนวน 192,971,116 หุ้น หรือ 13.53% (ล่าสุดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ขายหุ้น 14 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.96% ส่งผลถือหุ้นลดลงจาก 13.41% เหลือสัดส่วน 12.45%)

ด้านนางสาวยุวดี พงษ์อัชฌา (ภรรยา) ปัจจุบันปรากฎชื่อเป็นผู้หุ้นใหญ่ 2 หลักทรัพย์

  • บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 เมษายน 2565) จำนวน 10,456,312 หุ้น หรือ 1.12%
  • บมจ. เจ มาร์ท หรือ JMART ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 (ข้อมูล ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2565) จำนวน 111,194,154 หุ้น หรือ 7.80% (ล่าสุด วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานางสาวยุวดี พงษ์อัชฌา ขายหุ้น 40 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.75% ส่งผลถือหุ้นจาก 7.61% เหลือสัดส่วน 4.86%)