‘ไมเคิล เบอร์รี’ จาก Big Short แทงสวนซื้อหุ้น Alibaba และ JD.com  แม้อยู่ขาลง

‘ไมเคิล เบอร์รี’ จาก Big Short แทงสวนซื้อหุ้น Alibaba และ JD.com  แม้อยู่ขาลง

ไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนชาวอเมริกันผู้โด่งดังจากภาพยนตร์ ‘The Big Short’ เข้าซื้อหุ้น Alibaba และ JD.com สองบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน พร้อมชี้หุ้นดังกล่าวถูกเทขายมากเกินไป (Oversold) จึงมีโอกาสฟื้นตัวในอนาคต 

Key Points

  • ‘ไมเคิล เบอร์รี’ เข้าซื้อหุ้น Alibaba และ JD.com สองบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ของจีน แม้ราคาอยู่ในขาลง
  • นักวิเคราะห์ชี้หุ้นสองตัวดังกล่าวอยู่ในสภาวะ Oversold จึงมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาเป็นบวก
  • ด้าน มูลค่ารวมกองเฮดจ์ฟันด์ของไมเคิล เบอร์รี เพิ่มขึ้น 47 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,551 ล้านบาท) หรือ 13% จากการปรับพอร์ตในช่วงที่ผ่านมา

ไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนชาวอเมริกัน ผู้โด่งดังมาจากภาพยนตร์ ‘The Big Short’ เข้าซื้อ  ‘ใบรับฝากหุ้นที่ออกโดยสถาบันการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา’ ของ Alibaba จำนวน 50,000 หุ้น ด้วยเงิน 4.4 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 145.2 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. และของ JD.com มูลค่า 4.2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 138.6 ล้านบาท) เมื่อปลายปีที่แล้ว 

โดยใบแสดงการรับฝากหุ้นดังกล่าว คือ ใบแสดงการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เนื่องจากทั้ง Alibaba และ JD.com เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน

ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาหุ้นของ Alibaba และ JD.com ย่อตัวลงจากนโยบายปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีของรัฐบาลกลางปักกิ่ง ประกอบกับนักลงทุนพร้อมใจเทขายหน้าหุ้นเทคโนโลยีอย่างกว้างขวางเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่า ปัจจัยที่ทำให้ไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนที่เน้นโครงสร้างพื้นฐาน (Value Investor) เข้าซื้อหุ้น Alibaba และ JD.com เนื่องจาก 

หน้าหุ้นดังกล่าวอยู่ในสภาวะเทขายมากเกินไป (Oversold) จึงมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวในอนาคต (Stage a Comeback) ประกอบกับหน้าหุ้นทั้งสองมีพื้นฐานดี

มากไปกว่านั้น ช่วงท้ายไตรมาส 4 Scion Asset Management เฮดจ์ฟันด์ของไมเคิล เบอร์รี ได้เข้าซื้อ MGM Resorts International จํานวน 100,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 3.4 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 112.2 ล้านบาท) 

ประกอบกับช่วงที่ผ่านมากองทุนฯ ได้ปรับพอร์ตใหม่ทั้งหมด แต่เบอร์รียังเก็บ Geo Group หรือ GEO บริษัทให้บริการเรือนจำเอกชน สัญชาติอเมริกัน และ Qurate Retail บริษัทรีเทลสัญชาติอเมริกันหรือ QRT ไว้

โดยขณะนี้ กองทุนฯ ได้ขยายสินทรัพย์ในพอร์ตจากทั้งหมด 6 แห่ง เป็น 9 บริษัท ทำให้มูลค่ารวมเพิ่มสูงขึ้นถึง 47 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,551 ล้านบาท) หรือ 13% 

บทวิเคราะห์ของเว็บไซต์อินไซด์เดอร์ดอทคอม ระบุว่า หากประเมินจากลักษณะการปรับพอร์ตในช่วงที่ผ่านมา กองทุนฯ​ อาจอยู่ในภาวะกระทิง (Bullish) ในช่วงไตรมาส 4 

อย่างไรก็ตาม แม้ไมเคิล เบอร์รีจะเพิ่มสินทรัพย์ในพอร์ตเพียงไม่กี่ตัว แต่จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ (Breathless Rally) ช่วงเดือนที่ผ่านมา เขาจึงเตือนนักลงทุนสั้นๆ ว่า “ถึงเวลาขายหุ้นออกแล้ว”

“ผมมองว่าการพุ่งทะยานของตลาดหุ้นสหรัฐช่วงนี้เหมือนวิกฤติหุ้นเทคโนโลยี หรือ ‘Dot-Com Bubble’ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมอยากให้นักลงทุนระวังการเข้าซื้อ ‘หุ้นมีม’ หรือหุ้นที่ปรับตัวขึ้นหรือลงจากกระแสข่าวฉาวมากกว่าปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน” 

อนึ่ง ไมเคิล เบอร์รี โด่งดังมาจากการลงเงินเดิมในช่วงวิกฤติฟองสบู่บ้านสหรัฐ (Housing Bubble) ปี 2000 ที่นักลงทุนพากันซื้อบ้านเพื่อขายต่อ จนท้ายที่สุดจึงนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์The Big Short รวมทั้งเขายังเป็นที่รู้จักจากการเข้าไปลงทุนเพื่อเดิมพันใน GameStop หรือ GME บริษัทค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก่อนที่จะกลายเป็น ‘หุ้นมีม’ ในเวลาต่อมา และเขายังคาดการณ์เกี่ยวกับการล่มสลายของตลาดหุ้น และหายนะทางเศรษฐกิจอื่นๆ อีกมากมาย 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์