ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 112 จุด หลังกลุ่มแบงก์เผยผลประกอบการ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 112.64 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 34,302.61 จุด

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่ม 0.40%  ปิดที่ 3,999.09 จุด

ดัชนีแนสแด็ก บวก 0.71% ปิดที่ 11,079.16 จุด

 

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลงกว่า 100 จุด ใกล้หลุดระดับ 34,000 จุดในการซื้อขายช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซา

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ประกาศเพิ่มการกันสำรองหนี้สูญ พร้อมกับเตือนว่าสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เจพีมอร์แกน เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2565 โดยมีกำไร 3.57 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.07 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่มีรายได้ 3.557 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.430 หมื่นล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ธนาคารได้ทำการกันสำรองหนี้สูญจำนวน 2.3 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าไตรมาส 3/2565 ถึง 49% และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.96 พันล้านดอลลาร์ ขณะเตือนว่าสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อในระดับสูง

ซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรลดลงอย่างมากในไตรมาส 4/2565 โดยได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงจากวาณิชธนกิจ รวมทั้งการที่ธนาคารต้องเพิ่มการกันสำรองหนี้สูญ

ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า กำไรดิ่งลงมากกว่า 21% ในไตรมาส 4/2565 สู่ระดับ 2.5 พันล้านดอลลาร์ จากระดับ 3.2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปี 2564

ขณะเดียวกัน ธนาคารได้ทำการกันสำรองหนี้สูญจำนวน 1.85 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.79 พันล้านดอลลาร์

ด้านเวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้ลดลงในไตรมาส 4/2565 เนื่องจากธนาคารมีค่าใช้จ่ายทางกฎหมายจากการถูกดำเนินคดี รวมทั้งมีการเพิ่มการกันสำรองหนี้สูญ

ส่วนแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไรลดลง 18% ในไตรมาส 4/2565