นักวิเคราะห์เตือน 5 ปัจจัยเสี่ยงจ่อทุบตลาดหุ้นโลกปีหน้า

นักวิเคราะห์เตือน 5 ปัจจัยเสี่ยงจ่อทุบตลาดหุ้นโลกปีหน้า

นักวิเคราะห์เตือน 5 ปัจจัยเสี่ยงจ่อทุบตลาดหุ้นโลกปีหน้า หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญภาวะตกต่ำที่สุดในรอบกว่า 10 ปีในปี 2565

หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญภาวะตกต่ำที่สุดในรอบกว่า 10 ปีในปี 2565 และตลาดพันธบัตรเกิดภาวะ inverted yield curve หลายครั้ง ซึ่งส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่นักลงทุนบางกลุ่มมองว่าสถานการณ์ต่างๆ น่าจะดีขึ้นในปี 2566 โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มที่ว่าธนาคารกลางทั่วโลก จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการที่จีนกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง รวมทั้งข้อพิพาทในยุโรปเริ่มบรรเทาลง

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยง และอาจทำให้ตลาดเผชิญกับความผันผวนอีกครั้งในปี 2566

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ส่งสัญญาณเตือน 5 ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกในปี 2566 ดังนี้

1. วิกฤติเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ

   แมทธิว แมคเลนแนน นักวิเคราะห์จากบริษัท เฟิร์ส อีเกิล อินเวสต์เมนท์ แมเนจเมนท์ กล่าวว่า “นักลงทุนในตลาดพันธบัตรกำลังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่ภาวะปกติในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่นั่นอาจเป็นมุมมองที่ผิด เพราะความเสี่ยงที่แท้จริงคือ ค่าจ้างที่พุ่งสูงขึ้น และแรงกดดันในฝั่งอุปทาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งให้ต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้น และทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวขึ้นด้วย”

 “สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในช่วงกลางปี 2566 และผลที่ตามมาคือ ตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตรจะร่วงลง, ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และตลาดเกิดใหม่จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้น จากนั้นก็จะมีกระแสความวิตกกังวลเกิดขึ้นว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” แมคเลนแนน กล่าว

2. ตลาดหุ้นจีนทรุดตัว

     ก่อนหน้านี้   ตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นราว 35% จากระดับต่ำสุดในเดือนต.ค. เนื่องจากความหวังที่ว่าจีนจะกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากใช้มาตรการล็อกดาวน์มาเป็นเวลานาน

     แต่ขณะนี้ความหวังดังกล่าวได้ถูกบดบังด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักในจีนอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของจีนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตราย และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทรุดตัวลง โดยรายงานระบุว่าโรงพยาบาลในจีนล้นไปด้วยผู้ป่วย และมีการจองคิวจัดงานศพจำนวนมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

      “กราฟที่แสดงตัวเลขการติดเชื้อในจีนจะพุ่งขึ้นอีก และจะพุ่งถึงจุดสูงสุดใน 1 หรือ 2 เดือนหลังเทศกาลตรุษจีน เราคาดว่าจีนจะประสบความสำเร็จในการเปิดประเทศ แต่ผลที่ตามมาคือ การแพร่ระบาด และการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19” มาร์เซลลา โชว์ นักวิเคราะห์ของเจ.พี.มอร์แกน เชส กล่าว

       นักวิเคราะห์ยังกล่าวด้วยว่า การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนยังคงเปราะบาง และการทรุดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะโลหะที่ใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมและแร่เหล็ก

3. สงครามรัสเซีย-ยูเครน

      “จอห์น เวล” นักวิเคราะห์จากบริษัท นิกโก แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า “หากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเลวร้ายลง และหากองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ยื่นมือเข้ามาเป็นปรปักษ์โดยตรงกับรัสเซีย และใช้มาตรการคว่ำบาตรในระดับที่รุนแรงขึ้น ก็จะส่งผลกระทบในด้านลบตามมาอย่างแน่นอน”

      “นอกจากนี้ หากมีการคว่ำบาตรบรรดาชาติพันธมิตรของรัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเดีย และจีน ผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยจะทำให้เกิดภาวะชะงักงันของอุปทานสินค้าทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอาหาร พลังงาน และสินค้าอื่นๆ เช่น ปุ๋ย โลหะ และเคมีภัณฑ์”

       “สถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าคือ หากรัสเซียใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงคราม ซึ่งแม้ว่ายังไม่มีสัญญาณในเรื่องนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ และวิกฤตการณ์ดังกล่าวจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของยูเครน” เวล กล่าว

4. ตลาดเกิดใหม่ชะลอตัว

     นักลงทุนจำนวนมากคาดการณ์ว่าดอลลาร์จะชะลอการแข็งค่าในปี 2566 และต้นทุนพลังงานจะปรับตัวลง ซึ่งสองปัจจัยนี้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันในตลาดเกิดใหม่ แต่หากทั่วโลกประสบความล้มเหลวในการควบคุมเงินเฟ้อก็จะส่งผลให้ปัจจัยบวกทั้งสองนี้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่ความตึงเครียดของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งขึ้นอีกครั้ง

       “เชน โอลิเวอร์” นักวิเคราะห์จากบริษัท เอเอ็มพี เซอร์วิสเซส กล่าวว่า “เราคงไม่สามารถก้าวผ่านปี 2566 ไปได้อย่างสวยงามหากตลาดเกิดใหม่ย่ำแย่ เรามองว่ายังคงมีความเป็นไปได้สูงที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากหลายประเทศในกลุ่มนี้มีหนี้สินในรูปสกุลเงินดอลลาร์”

      “ผลกระทบจากวิกฤตการณ์นี้จะสร้างความเสียหายอย่างฉับพลันให้กับรัฐบาลในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากต้องแบกรับภาระหนี้สินในรูปดอลลาร์มากขึ้น” โอลิเวอร์ กล่าว

5. โควิดระบาดไม่จบ

       หากโรคโควิด-19 มีการแพร่ระบาดรุนแรงขึ้นหรือมีการกลายพันธุ์ของไวรัสมากขึ้น หรือแม้สายพันธุ์ปัจจุบันที่ยังคงระบาดต่อเนื่อง ก็จะยิ่งเพิ่มปัญหาให้กับห่วงโซ่อุปทาน และสิ่งที่จะตามมาคือ การพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง

       “เราเชื่อว่า เศรษฐกิจมหภาคในประเทศขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ต้องพึ่งพาการค้า ขณะนี้เรามีมุมมองเป็นลบต่อแนวโน้มตลาด ในขณะที่นักลงทุนต่างก็คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอย” มาร์เซลลา โชว์ นักวิเคราะห์ของเจ.พี.มอร์แกน เชส กล่าว

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์