ดาวโจนส์ปรับตัวลง 142 จุด หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด

ดาวโจนส์ปรับตัวลง 142 จุด หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(14ธ.ค.)ปรับตัวลง 142 จุด หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามคาด แต่ส่งสัญญาณว่าการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่สิ้นสุด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 142.29 จุด หรือ 0.42% ปิดที่ 33,966.35 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 24.33 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 3,995.32 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 85.93 จุด หรือ 0.76% ปิดที่ 11,170.89 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนพ.ย. โดยมีสาเหตุจากการปรับตัวลงของราคาพลังงาน รวมทั้งการแข็งค่าของดอลลาร์

ทั้งนี้ ดัชนีราคานำเข้าลดลง 0.6% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนต.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีราคานำเข้าลดลง 0.5% ในเดือนพ.ย.

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในปีนี้ ซึ่งเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25% ในปีนี้

ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปีหน้า ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550

หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 หรือเทียบเท่ากับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 5.00-5.25% เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อจับตาดูผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
 

นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 1.0% ในปี 2567 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.1% ในช่วงสิ้นปีดังกล่าว และเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1.0% ในปี 2568 สู่ระดับ 3.1% ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะปรับตัวสู่ระดับ 2.5%