‘BBIK' เล็งซื้อกิจการ - ร่วมทุน เพิ่ม 1 - 2 ดีล เข้าเทรดกระดาน SET ภายในปี 2568

‘BBIK' เล็งซื้อกิจการ - ร่วมทุน เพิ่ม 1 - 2 ดีล เข้าเทรดกระดาน SET ภายในปี 2568

"บลูบิค”กางแผนปี 2566 เดินหน้า ควบรวม - ร่วมทุนอีกอย่างน้อย 1-2 ดีล เผยศึกษากลุ่มเทรดดิชั่นแนล เอาระบบเทค ช่วยหนุนการเติบโตร่วมกัน  หลังทิ้งทวนปีนี้ปิด 2 ดีลบิ๊กเทคฯ เพิ่มรายได้ต่างประเทศ ดันเป้ารายได้ปี 2566 ทะลุพันล้าน และเข้าเทรด SET ตามแผน 3 ปีภายในปี 2568

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทเดินหน้าขยายกิจการผ่านการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions – M&A) และกิจการร่วมค้า (Join Venture) จัดตั้งบริษัทย่อยอย่างต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 1-2 ดีล มุ่งเสริมแกร่งด้านบริการ และรองรับงานทั้งใน และต่างประเทศ

“อย่างเช่นตอนนี้บริษัทมีการศึกษาร่วมกับพาร์ทเนอร์ เช่น กลุ่มเทรดดิชั่นแนล ที่บริษัทสามารถนำเอาระบบเทคโนโลยี สร้างมูลค่าเพิ่มสนับสนุนการเติบโตร่วมกัน และดีลปีหน้าไม่น่าสะดุด แม้จะมีความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่มองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีอัพไซด์เติบโตจากการท่องเที่ยว ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังค่อยเป็นค่อยไปไม่กระทบการระดมทุนใหม่”    

‘BBIK' เล็งซื้อกิจการ - ร่วมทุน เพิ่ม 1 - 2 ดีล เข้าเทรดกระดาน SET ภายในปี 2568

ล่าสุด บริษัทเข้าซื้อกิจการในสัดส่วน 100% ของ 2 บริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับประเทศ คือ 

1. หน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC (ที่ปรึกษาและพัฒนางานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร)  

2. บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด (Innoviz Solutions) ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญการวางระบบ Enterprise Resource Planning – ERP อันดับหนึ่งของ Microsoft Dynamics 365  เป็นงบลงทุน 1,000 ล้านบาท 

สำหรับกระบวนการเข้าซื้อกิจการหน่วยธุรกิจ MFEC จัดตั้งบริษัทย่อย คาดว่าเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1 ปี 2566  โดยใช้เงินสดที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งแรก(IPO) และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรวม 400 ล้านบาท ยังมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300 ล้านบาท และมีแผนการระดมทุนเพิ่มในปีหน้าช่วงเดือนก.พ.หากมีความจำเป็น 

ขณะที่ กระบวนการควบรวมกิจการของ Innoviz โดยบริษัทจะเข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดด้วยเงินสดทั้งสิ้น และจะแบ่งการชำระค่าหุ้นออกเป็น 3 งวด คาดงวดแรกไม่เกิน 300 ล้านบาท จะเริ่มต้นในไตรมาส 1 ปี 2566  ส่วนงวดที่ 2 และ 3 จะเสร็จในปี 2568   

สำหรับราคาซื้อขายหุ้นแต่ละงวดเท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz คูณด้วยP/E (คาดP/Eเฉลี่ย3งวดราว14 เท่า) และคูณสัดส่วนหุ้นในแต่ละงวด สัดส่วน 55% , 30% ,15%

นายพชร กล่าวว่า บริษัทมุ่งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามแผนลงทุนที่บริษัทวางไว้ และตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ตอกย้ำความเป็น Tech Company ที่มุ่งเน้นการเป็น Venture Builder ระดับสากล จากการต่อยอดทางธุรกิจในอนาคตผ่านการ Synergy ร่วมกัน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ 

อีกทั้งช่วยการประหยัดต้นทุนจาก Economy of Scale โดยจะมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 350 คน เป็น 780 คน เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจ และบริการทั้งใน และต่างประเทศ เช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย บริษัทคาดว่า จะเพิ่มรายได้จากต่างประเทศเป็น 15- 20% จากปัจจุบันทำได้แล้ว 15% ของรายได้รวม

พร้อมกับวางเป้าหมายในปี 2566 รายได้รวม มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด 100% หรือทะลุ 1,000 ล้านบาท จากในปี 2565 คาดว่าเติบโตมากกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 500 ล้านบาท  เติบโต 70% เมื่อเทียบจากปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 306 ล้านบาท 

โดย 9 เดือนปีนี้มีรายได้รวม 425 ล้านบาท เติบโต 115% และกำไร 100 ล้านบาท เติบโต 110% จากช่วงเดียวกันปีก่อน  และยังคงเป้าหมาย 3 ปี( ปี 2566-2568 ) ผลักดันเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ฯ SETภายในปี 2568 ซึ่งในแง่ของการเติบโตกำไรปีนี้ และปีหน้าสามารถเข้าได้แต่ต้องรอดูจังหวะเวลาในปีหน้าว่ามีความเหมาะสม และมีความจำเป็นต้องเข้าหรือไม่ 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์