SGC เคาะราคาIPO 3.90 บาทต่อหุ้น จ่อเข้าเทรดSET 13 ธ.ค. นี้

เอสจีแคปปิตอล เดินหน้าตามแผนเตรียมเข้า SET เคาะราคาไอพีโอ 3.90 บาทต่อหุ้น ส่วนประชาชนทั่วไป และบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สามารถจองซื้อหุ้น IPO ได้ในวันที่ 29 – 30 พ.ย. และวันที่ 1 – 2 ธ.ค.นี้ คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์13 ธ.ค. นี้
นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งนับเป็นอีกก้าวความสำเร็จในฐานะผู้ให้บริการด้านสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินชั้นนำของประเทศไทย ที่ต่อยอดมาจาก บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) โดยเฉพาะสินเชื่อประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน” มีการเติบโตก้าวกระโดด โดยเฉพาะประเภทรถบรรทุก และการขยายไปยังธุรกิจการให้สินเชื่อต่างๆ อย่างครอบคลุม
โดยการเข้าระดมทุนครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งบริษัทได้วางเป้าหมายการเติบโตของมูลค่าลูกหนี้พอร์ตสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 จาก ณ สิ้นไตรมาส 3 มีมูลค่าลูกหนี้ 15,102 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวนไม่เกิน 820 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.08% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยมี SINGER ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วนก่อน IPO 100% จะยังคงถือหุ้น SGC หลัง IPO ในสัดส่วนที่ประมาณ 74.92%
ทั้งนี้บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่ราคา 3.90 บาทต่อหุ้น มูลค่าการเสนอขายรวม 3,198 ล้านบาท กำหนดเปิดจองซื้อให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตราส่วน 1.4326 หุ้นสามัญของบริษัทต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SGC ระหว่างวันที่ 21 - 25 พฤศจิกายนนี้ ส่วนประชาชนทั่วไป และบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สามารถจองซื้อหุ้น IPO ได้ในวันที่ 29 – 30 พฤศจิกายน และวันที่ 1 – 2 ธันวาคมนี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 13 ธันวาคมนี้
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,665 ล้านบาท เติบโต 27.% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ประกอบด้วย รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อรถทำเงิน 46.% และรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร สัดส่วน 51.% ที่เหลือเป็นรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และดอกเบี้ยสินเชื่อผ่อนทองและสินเชื่ออื่นๆ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 467. ล้านบาท พร้อมด้วยการควบคุมลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 3.7 %







