ตลท. คาดปี 66 มาร์เก็ตแคป หุ้น IPO แตะ 2.5 แสนล้านบาท

ตลท. คาดปี 66 มาร์เก็ตแคป หุ้น IPO แตะ 2.5 แสนล้านบาท

ตลท. วางเป้าหมายปี 2566 มาร์เก็ตแคปหุ้น IPO ราว 2.5 แสนล้านบาท เผยมูลค่าการระดมทุนรวม IPO ในช่วง 10 เดือนปีนี้ ยังแชมป์สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน พร้อมมองทิศทางฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้าต่อเนื่อง และช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์กลับมาเปิดเมือง

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิด แนวโน้มหุ้นเข้าใหม่ (IPO) ในปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป)  250,000 ล้านบาท  ขณะที่ ปริมาณการระดมทุนผ่านตลาดรองจะมากกว่า 2 เท่า และคาดว่ามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นอยู่ใกล้เคียง 80,000 - 100,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ โดยทั่วไปตลาดจะมีหุ้น IPO เข้ามาจดทะเบียน ประมาณปีละ 40 - 50 บริษัท และมีมาร์เก็ตแคปหุ้น IPO ราว 250,000 ล้านบาท รวมถึงมีจำนวนผู้ลงทุนเพิ่มประมาณ 2 - 3 แสนบัญชี แต่ในช่วงโควิด-19 อาจเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ เพราะในปี 2563 มีผู้มาเปิดบัญชีหุ้นใหม่จำนวน 5 แสนบัญชี และปี 2564 กระโดดพุ่งขึ้นกว่า 1.5 ล้านบัญชี

อย่างไรก็ตามใน ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นการพัฒนาของตลาดทุนไทยที่มีหุ้นใหม่ เข้ามาจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น และมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ทางด้านแนวโน้มฟันด์โฟลว์ต่างชาติ คาดว่าจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนยังเชื่อมั่นการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) และบางบริษัทเริ่มมีกำไรกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว

ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีจำนวนกว่า 10 ล้านคน รวมถึงมองว่าประเทศไทยค่อนข้างแข็งแกร่งหากเทียบกับตลาดอื่น เพราะมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ระดับต่ำ,มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างสูง และภาคธนาคารยังมีความเข้มแข็ง ตอนนี้ยังไม่เห็นจุดเปลี่ยนแปลงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ 

ตลท. คาดปี 66 มาร์เก็ตแคป หุ้น IPO แตะ 2.5 แสนล้านบาท

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. กล่าวว่า ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการระดมทุนรวมของหุ้น IPO กว่า 1,812 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นแชมป์อันดับหนึ่งในตลาดภูมิภาคอาเซียน และอยู่ยังในระดับต้นๆ ของเอเชีย

โดยในเดือนต.ค.65 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายในตลาด SET จำนวน 1 บริษัท ได้แก่ บมจ.พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) และในตลาด mai จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บมจ.ทเวนตี้ โฟร์ คอน แอนด์ ซัพพลาย (24CS),บมจ.ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย (AMARC) และบมจ. อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค ซิสเต็ม (ITNS)

สำหรับภาพรวมภาวะตลาดหุ้นในช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา พบว่า SET Index ปิดที่ 1,608.76 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.2% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค และปรับลดลงอยู่ที่ 2.9% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 64

ขณะที่ SET Index ในช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 64 ได้แก่ กลุ่มบริการ,กลุ่มทรัพยากร,กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มก่อสร้าง

ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 64,036 ล้านบาท ลดลง 27.5% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วง 10 เดือนแรกปี 65 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 80,208 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 7,467 ล้านบาท และทำให้ใน 10 เดือนแรกปีนี้ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 153,931 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แล้ว

นอกจากนี้มองว่า IMF ประเมินตัวเลขการเติบโตของ GDP ไทยยังคงโตต่อเนื่องทั้งในปี 2565 และ 66 อยู่ที่ 2.8% และ 3.7% ตามลำดับ จากการกลับมาเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งหลังปี 65 และจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2566

อีกทั้งยังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าใกล้เคียงกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปี 2566 จากแรงกดดันด้านอุปทานที่ค่อยๆ ลดลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่แรงกดดันด้านอุปสงค์มีอยู่จำกัด ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่ง

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์