บล.กสิกรไทย เปิด 4 ปัจจัยสำคัญกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี

บล.กสิกรไทย เปิด 4 ปัจจัยสำคัญกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี

บล.กสิกรไทย ชี้ 4 ปัจจัยสำคัญกำหนดทิศทางหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ได้แก่ การดำเนินนโยบายของ Fed, ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ, การเปิดเมืองของจีน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยก่อนเลือกตั้ง ส่วนในระยะสั้นสัปดาห์หน้าต้องติดตามเลือกตั้งกลางเทอมและเงินเฟ้อสหรัฐ

บล.กสิกรไทย ระบุถึงปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2565 มี 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1.) การดำเนินนโยบายของ Fed

หลังจากนี้ เชื่อว่า Fed จะรอข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย  โดยการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินสหรัฐคาดจะช้ากว่าธนาคารกลางประเทศอื่น    

2.) Geopolitic risk 

อาทิ สงครามรัสเซีย – ยูเครน คาดสถานการณ์ยังยืดเยื้อ และอยู่ในช่วงต่อรอง สะท้อนจากการสลับปรับเปลี่ยนการส่งออกธัญพืช จากท่าเรือของยูเครนมุ่งสู่ตลาดโลก รวมถึงฝั่งเอเซีย ล่าสุด กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือยังทดสอบขีปนาวุธ คาดยังเป็นปัจจัย Overhang ต่อตลาด

 

แต่หากไม่มีสถานการณ์เลวร้ายคาดจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยยะ ส่วนผลต่อหุ้นประเมินยังหนุนให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตมาฝั่งอาเซียน รวมถึงไทย มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม   

3.) การเปิดเมืองจีน

คาดว่าจะเห็นการผ่อนคลายในปี 2566 แต่หากผ่อนคลายเร็วขึ้น ประเมินหุ้นที่อิงกับจีนจะได้ Sentiment บวก อาทิ

- กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, AAV, CENTEL, ERW SPA)

- กลุ่มโรงพยาบาล EKH

- กลุ่มอสังหาฯ (SIRI, ANAN)

- กลุ่มอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ (SCGP, JWD ,PSL)

- กลุ่มนิคมฯ (WHA, AMATA)

- กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (TKN, SNNP)

- กลุ่มเครื่องสำอาง (DDD, BEAUTY) 

- กลุ่มพลังงาน อาทิ PTTEP

4.) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยก่อนการเลือกตั้ง

คาดจะเห็นการผลักดันออกมาในช่วงปลายปีและช่วงต้นปี คาดหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ CPN, KTC กลุ่มสื่อ อาทิ PLANB, CK  

 

ด้านปัจจัยระยะสั้นที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 7-11 พ.ย.

- 8 พ.ย. การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ(Midterm Election) จาก poll สำรวจคาดพรรค Republican มีโอกาสชนะในฝั่งสภาล่าง ซึ่งจะทำให้การผลักดันมาตรการกระตุ้นทางการคลังเศรษฐกิจสหรัฐมีอุปสรรคมากขึ้น มีโอกาสทำให้ Dollar อ่อนค่าและหนุนเงินบาทแข็งค่า บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นไทย 

- 10 พ.ย. ติดตาม US Inflation เดือน ต.ค. ตลาดคาด 8.1%YoY ชะลอจากเดือน ก.ย. ที่ 8.2%YoY เป็นตัวเลขสำคัญที่ Fed ให้น้ำหนักและใช้ประกอบในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และที่สำคัฐคือ ตลาดให้น้ำหนักมากที่ Core CPI  ต.ค. จะชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งหากอ่อนตัวลงหรือลดลงมากกว่าคาด จะบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง  

- ด้านปัจจัยในประเทศจะมีการประกาศงบงวด 3Q/65 ในกลุ่ม Real sector หลายบริษัท KS ให้น้ำหนักไปที่บริษัทที่กำไรจะออกแข็งแกร่ง  +YoY, +QoQ อาทิ 8 พ.ย. QH, SNNP,  9 พ.ย.  BCP ,GFPT, HENG, SC, SHR, 10 พ.ย. BBIK, BE8, CPN , D, JMT, และ11 พ.ย.  AMANAH, ANAN, ASK , BEM, EKH

กลยุทธช่วงนี้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักๆ คือกลุ่ม Defensive อาทิ  BEM กล่มโรงไฟฟ้า  EGCO, BGRIM  GPSC  กลุ่มที่เราแนะนำก่อนหน้ายังแนะนำถือต่อไม่เปลี่ยน อาทิ กลุ่ม Domestic play เช่น AMANAH, PLANB, CK กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากธีมจีนเปิดประเทศ อาทิ EKH, SIRI, ANAN, SCGP, AMATA, SNNP

 

หุ้น Top pick 

GPSC (ราคาทางพื้นฐาน 83.50 บาท)

Catalyst หนุนราคาหุ้นมี คือ 1.) ทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงต่อ โดยราคาก๊าซ LNG นำเข้าลดลงมากกว่า 61% จากระดับสูงสุดในช่วงกลางเดือน ส.ค.65 มาอยู่ที่  27.8 USD/MMBtu 

2.)ต้นปี 2566 เราคาดว่า Ft จะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจาก rate ปัจจุบัน ยังไม่สะท้อนราคา Gas ซึ่งจะทำให้ BGRIM กำไรฟื้นตัวเร็วขึ้น และ 3.) GPSC เป็นหุ้น Defensive คาดจะ Outperform ในช่วงตลาดผันผวน    

 

SNNP (ราคาทางพื้นฐาน 29.30 บาท)

1.) คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/65 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 135 ล้านบาท (+17% QoQ และ +120% YoY) ปัจจัยหนุนการเติบโตในเชิง YoY คาดมาจากสภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิด-19 การขยาย Pos ในเวียดนาม

2. คาดกำไรปกติมี CAGR ช่วง 3 ปี (ปี 2564-67) ที่ 44%

3.) SNNP ซื้อขายด้วย PER ปีนี้ที่ 36 เท่า เทียบกับ CAGR 3 ปี (ปี 64-67) ของกำไรปกติที่ 44 เท่า และ PEG ปี 66 ที่ 0.85 เทียบกับระดับเฉลี่ยของคู่แข่งที่ 1.94

 

CPN (ราคาทางพื้นฐาน 74.25 บาท)

1.) คาด CPN จะรายงานกำไรไตรมาส 3/65 ที่ 2.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,142% YoY และ 3.4% QoQ โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจหลักทั้งหมดยกเว้นที่อยู่อาศัย

 2.) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าประเทศสูงขึ้นและการประกาศโครงการใหม่จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันราคาหุ้น  CPN  

 3.) บริษัทประกาศแผนลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2565-2569) ล่าสุด เซ็นทรัลได้เปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ เซ็นทรัล นครสวรรค์ และเซ็นทรัล นครปฐม มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท