บล.เอเซียพลัส คาดหุ้นไทยไตรมาส 4 ลุ้นรีบาวด์ แนะเก็บหุ้น Domastic Play เด่น

บล.เอเซียพลัส คาดหุ้นไทยไตรมาส 4 ลุ้นรีบาวด์  แนะเก็บหุ้น Domastic Play เด่น

"บล.เอเซีย พลัส" มองทิศทางหุ้นไทย ไตรมาส 4 ดูดีกว่าทุกไตรมาส ลุ้นรีบาวด์  รับปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว เงินบาทชะลออ่อนค่า ดึงดูดฟันด์โฟลว์ทยอยไหลเข้าต่อเนื่อง  แนะจัดพอร์ตหุ้นไทย เน้นหุ้นโดเมสติก  ส่วนหุ้นต่างประเทศพุ่งเป้าหุ้นดีเฟนซีฟ ป้องความผันผวน

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย  บล.เอเซีย พลัส  เปิดเผยว่า ทิศทางหุ้นไทยไตรมาส 4 ปีนี้ คาดจะดูดีกว่าทุกไตรมาส เนื่อจากแรงกดดันปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศเบาลง และมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น หลังเปิดประเทศเต็มตัว หนุนภาคการท่องเที่ยว  ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ที่ 9-10 ล้านคน , การบริโภคในประเทศ ที่ดีขึ้น จากมาตรการคนละครึ่งเฟส 5 

ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุนมากกว่าการเยียวยาหลังโควิด ซึ่งงบลงทุน ปี2566 สัดส่วน เพิ่มเป็น21%จากปี65 สัดส่วน 19.6% หนุน จีดีพีครึ่งปีหลัง มีโอกาสขยายตัวแตะ 3.6% ทำให้จีดีพีสิ้นปีนี้ ขยายตัวดีที่ 3%

 

 รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) มีนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป คาดช่วงที่เหลือปีนี้ ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%ทำให้ดอกเบี้ย นโยบายสิ้นปีนี้ที่ 1.25% และดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้น ขาดดุลลดลง จากทิศทางราคาน้ำมันปรับลดลง ดุลบริการปรับตัวดีขึ้น รวมถึงหนี้สาธารณะต่อจีดีพีมีทิศทางดีขึ้น และสถานการณ์การเมืองในประเทศ ไม่มีน้ำหนักมากนัก

นอกจากนี้กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังขยายตัวได้ดี   ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินอัตรากำไรต่อหุ้น( EPS) ปี 2565 อยู่ที่ 96.1 บาทต่อหุ้น เติบโต 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน  ขณะที่มีค่า P/E 18 เท่า หรือคิดเป็นระดับ Market Earning Yield Gap ที่ 4.3% มากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 4.2% และค่าเงินบาทที่ชะลออ่อนค่า หากเริ่มทรงตัวที่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ได้จะสามารถดึงดูดกระแสเงินทุนต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว์) ให้ทยอยไหลกลับมาเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย  

“ตลาดหุ้นไทย 3 ไตรมาส ที่ผ่านมาได้ผ่านจุดที่ถูกแรงกดดันสูงสุดจากปัจจัยภายนอกประเทศไป และดูดซับข่าวไปมากแล้ว ทั้งสงครามรัสเซียกับยูเครน,เงินเฟ้อหลายประเทศมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว และปรับลงเข้ากรอบกลางปีหน้า ,นโยบายทางการเงินเชิงรุกในหลายประเทศดูผ่อนคลายลงลดแรงกดดันเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยคาดช่วงที่เหลือปีนี้เฟดขึ้นอีก 1% สิ้นปีอยู่ที่4.25% และปีหน้าขึ้นอีก 0.25%ก่อนที่จะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง”

นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า  จากปัจจัยบวกดังกล่าวว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะรีบาวด์ได้ ซึ่งประเมินกรอบดัชนีไตรมาส 4 ปี 2565 โดยแนวรับอยู่ที่1,544-1,588 จุด  และแนวต้าน 1,670 จุด  โดยหากดัชนีมาอยู่ที่แนวรับ แนะทยอยเข้าลงทุนได้ โดยยังคงประเมินเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่  1,730 จุด  โดยปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อทิศทางตลาดหุ้น ให้น้ำหนักในประเด็นเชิงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศจะกลับมาประทุ และในปีหน้าหลายประเทศทั่วโลกมีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเป็นแรงกดดันทำให้การฟื้นตัวขึ้นของดัชนีมีโอกาสสะดุดได้

ดังนั้นการจัดพอร์ตการลงทุนไตรมาส 4 ปีนี้มีสัดส่วนลงทุนหุ้นไทย 30% หุ้นต่างประเทศ 35% ตราสารหนี้ 15%สินทรัพย์ทางเลือก 10% และเงินสด 10% ยังมีความจำเป็นต้องถือเงินสดบางส่วนเพื่อเป็นสภาพคล่องและรอจังหวะตลาดปรับตัวลงเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเพิ่มเติม 

สำหรับการลงทุนในหุ้นไทย แนะนำหุ้น Domestic ที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากการเปิดประเทศ และไม่ได้รับผลกระทบต่อความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ กลุ่มแบงก์ และไฟแนนซ์ ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากดอกเบี้ยขาขึ้น และเศรษฐกิจในประเทศฟื้น คือ BBL,ASK ,กลุ่มสื่อสาร และ ค้าปลีก  คือ  ADVANC, HMPRO , กลุ่มเปิดประเทศและท่องเที่ยวฟื้นตัว  คือ  BEM ,CENTEL และหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า คือ GULF 

ส่วนการลงทุนหุ้นต่างประเทศ เน้นลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหรือช่วงที่มีความผันผวนสูง แนะเพิ่มน้ำหนักไปในหุ้น Defensive เช่น กลุ่ม Healthcare ฝั่งสหรัฐ ยังสามารถสร้างกำไรเติบโตได้ในช่วงเวลาดังกล่าว