“3 รายใหญ่” ชี้ปัจจัยลบนอกบ้าน กระทบ “หุ้นไทย” ชั่วคราว

“3 รายใหญ่” ชี้ปัจจัยลบนอกบ้าน กระทบ “หุ้นไทย” ชั่วคราว

“3 นักลงทุนรายใหญ่” ชี้ เงินเฟ้อสหรัฐพุ่ง-เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย กระทบตลาดหุ้นไทยชั่วคราว เหตุ เศรษฐกิจประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว หลังเปิดประเทศ “นิเวศน์-อนุรักษ์-วัชระ”ประสานเสียง ยังไม่ปรับพอร์ตโฟลิโอ- ฟันธง “หุ้นไทย” ยังแข็งแกร่ง

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ VI เปิดเผยว่า จากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์นั้น ปัจจุบันตนเองยังไม่มีการปรับพอร์ตลงทุน เนื่องจากมองเป็นผลกระทบชั่วคราวเท่านั้น และไม่คิดว่าประเด็นดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมาก เพราะว่าเมืองไทยกับสหรัฐมีความแตกต่างกัน โดยสหรัฐเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีการฟื้นตัวมามากแล้ว ขณะที่ประเทศไทยทั้งในส่วนของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเพิ่งฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย 

ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าน่าจะยังเป็นบวก ซึ่งน่าจะประคองตัวได้หลังการเปิดเมืองพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มสูงขึ้น

“3 รายใหญ่” ชี้ปัจจัยลบนอกบ้าน กระทบ “หุ้นไทย” ชั่วคราว ดังนั้น เชื่อว่าระยะยาวหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปในระดับที่เหมาะสม เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังไม่ค่อยไปไหนเลย จึงทำให้อาจเห็นตลาดหุ้นไทยปรับตัวน้อยลงกว่าตลาดอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา และความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงแรงๆ จึงน้อยกว่า

“คิดว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยแยกออกจากสถานการณ์โลกนิดหน่อย ด้วยเพราะว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะของการฟื้นตัว ขณะที่ของสหรัฐฟื้นตัวมาก่อนเรามากแล้ว ดังนั้น เศรษฐกิจก็ต้องชะลอตัวบ้าง”

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่ฟื้นตัวมากเกินไป โดยเฉพาะหุ้นที่ราคาเคยปรับตัวลงในช่วงของโควิด-19 ส่วนหุ้นตัวไหนที่ราคาไม่ปรับตัวลงเลย อาจจะหลีกเลี่ยงลงทุน เพราะราคาหุ้นสูงเกินไปแล้ว 

“พอร์ตของตัวเองที่ลงทุนในหุ้นไทยตอนนี้ยังเป็นบวกได้นิดหน่อย และเลือกหุ้นที่มีค่าพี/อีไม่สูง แต่มีโอกาสเทิร์นอะราวด์ ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าน่าจะยังเป็นบวก "

สำหรับ มุมมองต่อเรื่องภาวะเศรษฐกิจมหภาคในตอนนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโลกระยะยาวอาจไม่ค่อยดี เพราะอาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนผ่านตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ประกาศออกมา

นายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังไม่มีการปรับพอร์ตลงทุน โดยเมื่อ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา ยังซื้อหุ้นเติมในพอร์ตคิดเป็น 70% ของพอร์ตด้วย เพราะมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีพื้นฐานแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านวานนี้ (14 ก.ย.) ดัชนีฯ หุ้นไทยถือว่าปรับตัวลงไม่มาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก

ดังนั้น หากดัชนีหุ้นไทยยังไม่หลุด 1,610 จุด ก็ยังถือลงทุนต่อเนื่อง ประกอบกับมองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว หลังการเปิดประเทศมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยจำนวนมาก ส่งผลดีทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น

“3 รายใหญ่” ชี้ปัจจัยลบนอกบ้าน กระทบ “หุ้นไทย” ชั่วคราว “อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่ประมาทในเรื่องการลงทุน และยังต้องดูสัญญาณกราฟทางเทคนิคต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณ แต่อนาคตเราไม่รู้ว่าจะมีปัจจัยอะไรใหม่ๆ เข้ามากระทบต่อการลงทุนอีกไหม”

นายอนุรักษ์ บุญแสวง หรือ โจ ลูกอีสาน เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังไม่มีการปรับพอร์ตลงทุน เนื่องจากมองประเด็นตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐและตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงมามากเป็นเรื่องผลกระทบระยะสั้น และคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นไทย รวมทั้งตลอดการลงทุนที่ผ่านมาไม่ค่อยมองในระดับมหภาค แต่จะเน้นมองที่ธุรกิจของบริษัท หากธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบก็ไม่ต้องปรับพอร์ตลงทุน และด้วยเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะการณ์ฟื้นตัว หลังเปิดประเทศจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัว 

รวมทั้ง มองว่าปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) หลากหลายบริษัทมีการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบทั้งในเรื่องของดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุนพลังงานที่สูง เช่น การออกหุ้นกู้เพื่อล็อกต้นทุนดอกเบี้ยไว้แล้ว ขณะที่มองไทยก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเหมือนสหรัฐ ซึ่งคาดว่าไทยน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่เกิน 0.75% 

“3 รายใหญ่” ชี้ปัจจัยลบนอกบ้าน กระทบ “หุ้นไทย” ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพใหญ่ตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่ถึงกับสดใสมาก แต่ในตลาดหุ้นไทยมีหุ้นอยู่กว่า 700 ตัว ดังนั้น ก็ต้องมีหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีผลดำเนินงานที่เติบโต ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบมากจากปัจจัยลบภายนอก ซึ่งนักลงทุนก็เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวพอร์ตลงทุนก็จะมีรีเทิร์นที่ดีและปลอดภัย 

พอร์ตหุ้นของผมยังเป็นบวก แต่ไม่ถึงระดับ 10% เพราะหุ้นในพอร์ตธุรกิจไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัจจัยกระทบนอกบ้าน และหุ้นในประเทศปรับตัวลดน้อยกว่าหุ้นต่างประเทศ ส่วนพอร์ตลงทุนต่างประเทศกระทบบ้างทั้ง ในตลาดหุ้นเวียดนาม , จีน , ฮ่องกง , ฟิลิปปินส์ และสหรัฐ”