นักลงทุนเบรกซื้อ ‘ไอพีโอ’ โบรกเกอร์ชี้หุ้นติดหล่มราคาจอง ‘ตั้งแพง-สภาพคล่องวิกฤติ’

นักลงทุนเบรกซื้อ ‘ไอพีโอ’ โบรกเกอร์ชี้หุ้นติดหล่มราคาจอง ‘ตั้งแพง-สภาพคล่องวิกฤติ’

โบรกเกอร์มองบรรยากาศลงทุน “หุ้นไอพีโอ” ช่วง 6 เดือนหลังปี 68 ไม่สดใส หลังปัจจัย “กดดัน” จากการตั้งราคา “ความแพง” บนตลาดที่หดตัว “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” คาดนักลงทุนระมัดระวังมากขึ้นจากธุรกิจแบบดั้งเดิมไม่ตื่นเต้น “บล.หยวนต้า” ชี้สภาพคล่องในตลาดหุ้นที่ “ลดลง” ชัดเจน เม็ดเงินกระจายไม่ถึงหุ้นขนาดเล็ก

KEY

POINTS

  • โบรกเกอร์ชี้ว่าสาเหตุหลักที่หุ้น IPO ต่ำกว่าราคาจองมาจาก 2 ปัจจัยคือ การตั้งราคาขายที่สูงเกินไป (Overvaluation) และปัญหาสภาพคล่องในตลาดที่ลดลง
  • นักลงทุนมองว่าการตั้งราคา IPO แพงเกินศักยภาพการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ไม่สร้างความตื่นเต้นใหม่ๆ ให้กับตลาด
  • สภาพคล่องในตลาดหุ้นที่หดตัวลง ทำให้เม็ดเงินลงทุนกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ และไม่กระจายมาถึงหุ้น IPO ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง และเล็ก
  • เมื่อสภาพคล่องน้อย และบรรยากาศการลงทุนไม่ดี พอราคาเปิดต่ำกว่าจอง นักลงทุนจึงรีบเทขายหุ้นออกมา ขณะที่ไม่มีแรงซื้อใหม่เข้ามาหนุน
  • สถิติช่วงครึ่งหลังปี 2568 ชี้ว่าหุ้น IPO ในตลาด SET ส่วนใหญ่ (4 ใน 6 ตัว) มีราคาปิดในวันแรกต่ำกว่าราคาจอง ซึ่งตอกย้ำถึงความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน

ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 กระแส “หุ้นไอพีโอ” กลับเผชิญแรงกดดันมากขึ้น หลังนักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึง “การตั้งราคาขาย” ที่ค่อนข้างสูง (Valuation) เทียบกับศักยภาพการเติบโตของธุรกิจที่เข้าจดทะเบียนใหม่ แม้หลายบริษัทจะมีพื้นฐานที่ดี แต่รูปแบบธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นลักษณะเดิม ไม่ได้มีปัจจัยใหม่ที่ “ดึงดูด” หรือ “สร้างความตื่นตัว” ต่อตลาด ขณะที่สภาพคล่องในระบบลงทุนลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้หุ้นเปิดเทรดวันแรกราคาของ IPO หลายตัวร่วงต่ำกว่าราคาจองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นซื้อขาย

นักลงทุนเบรกซื้อ ‘ไอพีโอ’ โบรกเกอร์ชี้หุ้นติดหล่มราคาจอง ‘ตั้งแพง-สภาพคล่องวิกฤติ’

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากสถิติ และผลการดำเนินงานในวันแรกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 มีหุ้น IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดรวม 12 ตัว โดยแบ่งเป็นตลาด SET 6 ตัว และตลาด mai 6 ตัว ในขณะที่ครึ่งปีแรกไม่มีหุ้นเข้าจดทะเบียนเลย มีเพียงในดัชนี mai 5 ตัว โดยผลการดำเนินงานในวันแรกของการซื้อขายมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ครึ่งปีแรกหุ้น 4 ใน 5 ตัวสามารถปิดบวกจากราคาจองได้ ขณะที่ครึ่งปีหลังในดัชนี MAI หุ้น 4 ใน 6 ตัวสามารถปิดบวกได้ในวันแรก แต่มี 2 ตัวที่ติดลบ ส่วนดัชนี SET มีหุ้นเพียงตัวเดียวจาก 6 ตัวเท่านั้นที่สามารถปิดบวกได้ในวันแรก คือ TURBO ส่วนอีก 4 ตัวติดลบ และมี 1 ตัว MRDIYT ที่เสมอตัว

โดยภาพรวมแล้วหุ้น IPO หลายตัวไม่สามารถรักษาระดับราคาบวกไว้ได้ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น บวกกับธุรกิจอาจเป็นแบบดั้งเดิม ทำให้ตลาดไม่รู้สึกว่าน่าสนใจหรือตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในระดับโลก

ขณะที่ Valuation ที่อาจจะสูงเกินไป แม้ธุรกิจจะดี แต่การตั้งราคาเสนอขายอาจจะสูงเกินไปเล็กน้อย ซึ่งทำให้ตลาดไม่มั่นใจว่า Valuation ที่สูงนั้นเหมาะสมกับการเติบโตในระยะต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมดูไม่ดีนัก

หากพิจารณา P/E ย้อนหลังของหุ้น mai บางตัวที่เข้าตลาดมา พบว่า มีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 20-30 เท่า ซึ่งนักลงทุนอาจมองว่าราคานี้มีความแพงอยู่ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยังพบข้อสังเกตเกี่ยวกับขนาดของบริษัท หรือมาร์เก็ตแคป ว่ามีความก้ำกึ่งกันระหว่าง SET และ mai เช่น หุ้น SET บางตัวมีขนาดไม่ใหญ่มาก หรือไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ขณะที่ หุ้น mai ในช่วงครึ่งปีหลัง 6 ตัว มี 3 ตัวที่มีมาร์เก็ตเกิน 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้น IPO ยังคงมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนมากกว่าหุ้นที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว และส่วนใหญ่ราคาเสนอขายมักจะมีพรีเมียมในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ราคาขายสูงกว่าธุรกิจใกล้เคียงที่อยู่ในตลาด

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้น IPO ควรใช้ความระมัดระวัง ซึ่งราคาที่สูงอาจเหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น แต่ทว่าหากต้องการลงทุนในธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน หุ้นที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า

อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจของ IPO ดีจริง ก็สามารถลงทุนได้ แต่ต้องยอมรับว่าในภาวะตลาดไม่ดี ราคาที่เข้าตลาดมาอาจต้องใช้เวลาในการปรับหาจุดที่เหมาะสม

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมว่า สภาพคล่องในตลาดหุ้นที่ลดลงอย่างชัดเจน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าสนใจของหุ้นไซส์กลาง และไซส์เล็ก โดยสังเกตได้จากดัชนี mai ที่ปีนี้ติดลบถึง 27% ถือว่า Underperform ขณะที่ดัชนี SET ติดลบเพียง 7% และหุ้นเข้ามาใหม่ในตลาดส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นหุ้นไซส์กลางลงมา

ทั้งนี้เมื่อสภาพคล่องในตลาดลดลง เม็ดเงินลงทุนจึงกระจุกตัวอยู่แต่ในหุ้นใหญ่ ทำให้เงินไม่เหลือพอที่จะเข้ามาเล่นในหุ้นไซส์กลาง หรือไซส์เล็ก ในขณะที่หุ้นเหล่านี้เดิมทีก็มีความน่าสนใจน้อยอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นหุ้นที่ขึ้นเร็ว ลงเร็ว และมีความผันผวนสูง ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นสภาพคล่อง

ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเห็นราคาเปิดซื้อขาย ต่ำกว่าราคาจอง จึงเกิดความกังวล และมักจะชิงจังหวะขายออกไปก่อน ในช่วงเปิดตลาด ซึ่งทำให้เกิดแรงขายค่อนข้างเยอะ ในขณะที่แรงซื้อใหม่ก็ไม่มีเข้ามาในตลาด เพราะติดปัญหาที่นักลงทุนไม่ให้ความสนใจหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก

อย่างไรก็ตาม แม้หุ้นไอพีโออาจจะมีการตั้งราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ทว่าไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ราคาต่ำจองเสมอไป เพราะหุ้นบางตัวที่มีการประเมินมูลค่าไม่แพงก็ยังต่ำจอง หรือราคาเปิดเหนือจอง แต่สุดท้ายราคาก็ปรับตัวลงมา ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลกระทบคือ บรรยากาศการลงทุนมากกว่า

สำหรับนักลงทุนสนใจหุ้น IPO ที่กำลังจะเข้าใหม่ ควรพิจารณา 3 เรื่องหลัก 1.ต้องดูธุรกิจนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน หากเป็นธุรกิจที่เก่า และสามารถหาซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วในราคาประเมินมูลค่าที่ถูกกว่า ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า ตัวอย่างธุรกิจที่ไม่น่าสนใจ เช่น ธุรกิจประเภทแก๊สที่ขายในภาคอุตสาหกรรมซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยนิยมเทรด

2.หากเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมาก และดูเป็นแนวคิดแบบ New S-Curve ควรพิจารณาว่าธุรกิจนั้นสามารถทำได้จริงหรือไม่ และการประเมินมูลค่าแพงเกินไป สำหรับการจองหรือไม่ และ 3.บรรยากาศการลงทุนโดยภาพรวมหากมูลค่าการซื้อขายในตลาดโดยรวมยังคงห่อเหี่ยว และสภาพคล่องน้อย อย่างบรรยากาศเช่นนี้อาจจะไม่เอื้อต่อการจองหุ้น IPO

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์