SMO หุ้นธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 16.67% จาก IPO 5.40 บาท

SMO หุ้นธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 16.67% จาก IPO 5.40 บาท

หุ้น SMO เปิดการซื้อขายวันแรกที่ราคา 4.50 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาเสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่ 5.40 บาท ราคาเปิดเทรดวันแรกลดลง 0.90 บาท หรือคิดเป็น 16.67% จากราคา IPO ในช่วงเช้าของการซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นเคลื่อนไหวระหว่างราคาสูงสุดที่ 4.66 บาท และราคาต่ำสุดที่ 4.30 บาท

KEY

POINTS

  • หุ้น SMO เปิดการซื้อขายวันแรกที่ราคา 4.50 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาเสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่ 5.40 บาท
  • ราคาเปิดเทรดวันแรกลดลง 0.90 บาท หรือคิดเป็น 16.67% จากราคา IPO
  • ในช่วงเช้าของการซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นเคลื่อนไหวระหว่างราคาสูงสุดที่ 4.66 บาท และราคาต่ำสุดที่ 4.30 บาท

ความเคลื่อนไหว "ตลาดหุ้นไทย" ภาคเช้า ณ วันที่ 10 พ.ย.2568 หุ้นน้องใหม่ SMO หรือ บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) เปิดเทรดวันแรกราคาต่ำจองอยู่ที่ 4.50  บาท ลดลง 0.90 บาท หรือลดลง 16.67% จากราคา IPO ที่ 5.40 บาท ราคาสูงสุด 4.66 บาท และราคาต่ำสุดที่ 4.30 บาท ขณะที่ช่วงเวลา 10.15 น.ราคาอยู่ที่ 4.54 บาท หรือลดลง 15.93% ลดลง 0.86 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 4.54 บาท 
 

SMO หุ้นธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 16.67% จาก IPO 5.40 บาท

บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า SMO ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบและไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ โดยวัตถุประสงค์ของการระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ

1.ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันกับธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ

2.ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นเงินที่บริษัทกู้ยืมมาเพื่อขยายธุรกิจ

3.เงินทุนสำหรับโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับ ESG

และ 4.เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ SMO สำหรับปี 2569 ที่ 8.00 บาทต่อหุ้น

SMO ประกอบธุรกิจหลัก

1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องโดยบริษัทมีโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบทั้งสิ้น 4 โรงงานอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 โรงงานโดยมีกำลังการผลิตแห่งละ 75 ตันปาล์มต่อชั่วโมง จังหวัดชุมพร 1 โรงงานมีกำลังการผลิต 60 ตันปาล์มต่อชั่วโมง และจังหวัดสระบุรี  1 โรงงานมีกำลังการผลิต 30 ตันปาล์มต่อชั่วโมง 

และ 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ บริษัทมีโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ 3 โรงงาน อยู่ที่จังหวัดจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 โรงงาน มีสัญญาขายไฟฟ้า 5.7 MW และ 5.0 MW ตามลำดับ และอยู่ที่จังหวัดชุมพร 1 โรงงานมีสัญญาขายไฟฟ้า 2.0 MW โดยรายได้ปี 2565-2567 อยู่ที่ 6.8 5.9 และ 6.3 พันล้านบาท ตามลำดับโดยคิดเป็นอัตราการหดตัวเฉลี่ย 4%ต่อปี 

ขณะที่ รายงานกำไรปี 2565-2567 เติบโตจาก 130 ล้านบาท สู่ 260 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 42%ต่อปี ขณะที่รายได้และกำไรครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 5.0 พันล้านบาท และ 519 ล้านบาท เติบโต 72%YoY และเติบโต 305%YoY ตามลำดับ

ทั้งนี้ คาดอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ไทยปี 2568-2569 มีแนวโน้มขยายตัว โดยศูนย์วิจัยกรุงศรีคาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มขยายตัว โดยในช่วงปี 2568-2569 อุปทานมีทิศทางเพิ่มขึ้นโดยได้ปัจจัยหนุนจากผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยโดยเฉพาะภาคใต้ รวมถึงเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่สูงจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงอายุของต้นปาล์มที่เหมาะสม และแรงจูงใจในการเก็บเกี่ยวจากราคาผลปาล์มที่สูง 

อย่างไรก็ตาม อุปทานปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม โดยรวมมีทิศทางหดตัวในปี 2570 จากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญที่คาดว่าจะกลับมา ส่วนอุปสงค์ในช่วงปี 2568-2570 คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากความต้องการใช้ในประเทศ ได้แก่ คำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมต่อเนื่องโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรม เคมีภัณฑ์และโอเลโอเคมิคอลที่จะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว 

ขณะที่ ภาคขนส่งที่จะเติบโตตามการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการภาครัฐในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล โดยผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่มีแนวโน้มพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อรองรับการใช้น้ำมันดีเซลที่มีสัดส่วนไบโอดีเซลสูงขึ้น

โดย ศูนย์วิจัยกรุงศรี คาดว่า โรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบในปี 2568-2569 ได้แรงหนุนของตลาดในประเทศที่ฟื้นตัว การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว การขยายตัวของภาคขนส่งเชิงพาณิชย์ และมาตรการสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลของภาครัฐ 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากำลังการผลิตโดยรวมของโรงสกัดส่วนใหญ่สูงกว่าปริมาณผลปาล์มสดที่ออกสู่ตลาด ทำให้เกิดการแข่งขันรับ ซื้อวัตถุดิบ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและกดดันโอกาสในการทำกำไรของธุรกิจ โดยเฉพาะโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบรายย่อยที่ไม่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับโรงกลั่นน้ำมันหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ น้ำมันไบโอดีเซล ผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลโอเคมิคอล หรือผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการผลิต อาทิ กลีเซอรีนบริสุทธิ์ สารเปลี่ยนสถานะ แฟตตี้แอลกอฮอล์ 

ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรปี 2568-2569 ราว 695-842 ล้านบาท เติบโต 21% ต่อปี เราคาดการณ์รายได้ปี 2568 อยู่ที่ราว 9.0 พันล้านบาท เติบโต 44%YoY เนื่องจาก มีการซื้อโรงงานหีบน้ำมันปาล์มในจังหวัดชุมพร 1 โรงงานเพิ่มตั้งแต่เดือน ก.พ.2567 และปริมาณผลปาล์มสดที่เก็บเกี่ยวได้เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อน และคาดว่าอัตรากำ ไรขั้นต้นจะทรงตัวที่ 11.7% จากราคาวัตถุดิบทรงตัวในระดับใกล้เคียงปีก่อน 

ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดว่า จะปรับตัวขึ้นจาก 286 ล้านบาท สู่ 340 ล้านบาท ตามการเพิ่มจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นหลังซื้อโรงงานจังหวัดชุมพร 1 โรงงาน และคาดการณ์กำไรสุทธิปี 68 ที่ 694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168%YoY และคาดการณ์รายได้ปี 2569 อยู่ที่ราว 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 20%YoY จากบริษัทวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 75 ตันปาล์มต่อชั่วโมงที่โรงงานหีบน้ำมันปาล์มสาขาพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานีในปี 2569 และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้น 11.6% สู่ 12.0% เนื่องจากการประหยัดจากขนาด และการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 

ส่วนด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดว่าจะปรับตัวขึ้นจาก 340 ล้านบาท สู่ 391 ล้านบาท เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและจพนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นตามการขยายกำลังการผลิตที่สาขาพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี และคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2569 ที่ 842 ล้านบาท เติบโต 21%YoY