หุ้นน้องใหม่ MMM นายหน้าอสังหาฯ เปิดเทรดวันแรกเท่าราคา IPO5.50 บาท เสี่ยป๋อง-ต๊อบ เถ้าแก่น้อย ร่วมถือหุ้น

หุ้นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ MMM เปิดซื้อขายวันแรกที่ราคา 5.50 บาท นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ หรือ ต๊อบ เถ้าแก่น้อย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 9 โดยถือหุ้นจำนวน 4,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.33% นายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวน 330,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.51%
KEY
POINTS
- หุ้นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ MMM เปิดซื้อขายวันแรกที่ราคา 5.40 บาท ลดลง 1.82% จากราคาจอง IPO ที่ 5.50 บาท
- นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ หรือ ต๊อบ เถ้าแก่น้อย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 9 โดยถือหุ้นจำนวน 4,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.33%
- นายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวน 330,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.51%
ความเคลื่อนไหว "ตลาดหุ้นไทย" ภาคเช้า ณ วันที่ 7 พ.ย.2568 เวลา 10.00 น. หุ้นน้องใหม่ MMM หรือ บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เทรดวันแรกราคาอยู่ที่ 5.50 บาท เท่ากับราคา IPO ที่ 5.50 บาท
จากรายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้ถือหุ้นใหญ่ 12 อันดับ ประกอบไปด้วย
- ลำดับ 1 บริษัท เอ็มเอ็ม แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 209,997,900 หุ้น สัดส่วน 70.00%
- ลำดับ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จำนวน 12,966,700 หุ้น สัดส่วน 4.32%
- ลำดับ 3 บริษัท บริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด(มหาชน) จำนวน 12,000,000 หุ้น สัดส่วน 4.00%
- ลำดับ 4 นาย สุริยา วงศ์สิทธิชัยกุล จำนวน 5,500,000 หุ้น สัดส่วน 1.83%
- ลำดับ 5 นาย สุขสันต์ ยศะสินธุ์ จำนวน 5,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.67%
- ลำดับ 6 นางสาว รุ่งนภา มุกนนท์ จำนวน 4,761,100 หุ้น สัดส่วน 1.59%
- ลำดับ 7 นางสาว ณิชา โรจน์วัฒนา จำนวน 4,500,000 หุ้น สัดส่วน 1.50%
- ลำดับ 8 นาย นพวงศ์ โอมาธิกุล จำนวน 4,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.33%
- ลำดับ 9 นาย อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ (ต๊อบ เถ้าแก่น้อย) จำนวน 4,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.33%
- ลำดับ 10 นาย กฤษณะ ปรีดานนท์ จำนวน 3,150,000 หุ้น สัดส่วน 1.05%
- ลำดับ 11 นาย เทพ อัศวนิเวศน์ จำนวน 2,600,000 หุ้น สัดส่วน 0.87%
- ลำดับ 12 นาย วัชระ ชินวรวัฒนา จำนวน 1,843,500 หุ้น สัดส่วน 0.61%
นอกจากนี้พบว่า นักลงทุนรายใหญ่ได้รับการจัดสรรหุ้น MMM ได้แก่ เสี่ยงป๋อง วัชระ แก้วสว่าง จำนวน 330,000 หุ้น สัดส่วน 0.51% และ เศรษฐวุฒิ อังคีรสคุปต์ กระเบียรอภิบาล นักลงทุน VI จำนวน 1,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.56%
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า จุดแข็งของ MMM มาจากการมีเครือข่ายนายหน้าอิสระขนาดใหญ่ โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีนายหน้าที่ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 337 ราย ซึ่งส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันใน 3 ด้าน ได้แก่การเข้าถึงลูกค้ากว้างขวาง สามารถครอบคลุมพื้นที่หลากหลาย รวมถึงต้นทุนคงที่ต่ำ เนื่องจากใช้ระบบค่านายหน้าแบบ Margin-based commission โดยจะจ่ายค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อย และมีความยืดหยุ่นด้านโปรโมชั่น เพราะโครงสร้างค่านายหน้าเปิดโอกาสให้นายหน้านำส่วนต่างไปจัดทำแคมเปญกระตุ้นการขาย
ด้านประมาณการผลประกอบการคาด กำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 150 ล้านบาท +86% YoY และ ปี 2569 คาด 214 ล้านบาท +42% YoY มีแรงหนุนจากรายได้เติบโตต่อเนื่อง และอัตรากำไรขั้นต้นปรับดีขึ้นตามปริมาณยูนิตขายที่เพิ่มขึ้น และการขยายฐานลูกค้าไปยังผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่
นอกจากนี้ การเพิ่มพอร์ตโฟลิโอไปยังอสังหาริมทรัพย์ระดับราคาสูง ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวขึ้น ขณะที่อัตราค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้มีแนวโน้มลดลงตามฐานรายได้ที่สูงขึ้น แม้จะมีค่าใช้จ่ายจากการขยายทีม และการเตรียมเข้าจดทะเบียนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10 บาท ณ สิ้นปี 2569 โดยมองว่า ในปัจจุบันยังไม่มีคู่เทียบบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ใกล้เคียงกับ MMM ทั้งนี้มองว่าบริษัทควรเทรดใกล้เคียงระดับ PER กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่ปัจจุบันเทรดราว 14 เท่า เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของการเติบโต
ด้าน บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10 บาท ณ สิ้นปี 2569 อิง PE 13.3 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย PE หุ้นอสังหาฯ ขนาดกลางถึงเล็กในไทย สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตรายได้ และกำไรในอนาคต MMM เป็นตัวแทนขายอสังหาฯ รูปแบบใหม่มีต้นทุนต่ำ ใช้เงินลงทุนน้อยมีความเสี่ยงต่ำ โดยเป็นตัวกลาง ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุน และความเสี่ยงจากการพัฒนาเลือกทรัพย์ ที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมทำการตลาดได้ทันที และมีฐานะการเงินแข็งแกร่งมีสภาพคล่องสูง สร้างรายได้ได้ทันที ไม่ต้องรอการพัฒนา ศักยภาพการทำกำไรโดดเด่น ทำให้มองว่า Business Model นี้สร้างผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
โดยคาดการณ์การเติบโตของ MMM ว่าจะมีรายได้/กำไรเติบโตเฉลี่ย 3 ปี ได้ที่ระดับ 51-52% (2568-2570) จะมาจากการเติบโตของกลุ่ม BU1 และ BU2 ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 22 ต่อปี และ ROE ระดับสูงร้อยละ 21.6 ซึ่งมีความโดดเด่นกว่าอุตสาหกรรม
เดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM เปิดเผยว่า MMM ถือเป็นบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ที่ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนขายที่อยู่อาศัยประเภทบ้าน และ คอนโดมิเนียม มือ 1 รายแรก ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และด้วยศักยภาพการเป็นผู้ให้บริการด้านตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร รวมถึงโมเดลธุรกิจการเป็นตัวแทนขาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยทุกประเภท เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม โดยเน้นพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการใช้กลยุทธ์การขายผ่านเครือข่ายนายหน้าอิสระขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจ เป็นจุดแข็งที่ช่วยขยายการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญด้วยประสิทธิภาพการขายของ MMM จึงถูกยกระดับให้เป็นผู้ช่วยด้านการขายและการตลาดอย่างมืออาชีพที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องการในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า จากศักยภาพทางธุรกิจโดยเฉพาะ การมีอำนาจการต่อรองสูง และได้ต้นทุนทรัพย์ที่ต่ำ ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง นอกจากนี้ การมีเครือข่ายการขายขนาดใหญ่ โดยผ่านนายหน้าอิสระ ส่งผลให้ไม่มีต้นทุน Fixed Cost และ การที่บริษัทมีทรัพย์มือ 1 ที่ครอบคลุมทุกทำเลและช่วงราคาที่หลากหลาย ส่งผลให้ลูกค้าเลือกตามความต้องการ ซึ่งเปรียบเสมือน มินิมาร์ท อสังหาฯ ที่ใช้เงินทุนไม่มากในการวางหลักประกัน แต่สามารถบริหารโครงการได้จำนวนมาก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า MMM เป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูง ไม่มีภาระดอกเบี้ยจากต้นทุนพัฒนาโครงการ ไม่มีต้นทุนพัฒนาโครงการ และมีศักยภาพการทำกำไรสูงจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนถึงความน่าลงทุนในหุ้น MMM
นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล หรือ MMM เปิดเผยว่า MMM ยังมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ภายใต้แนวคิด "เพื่อนคู่คิด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์" ที่มีเครือข่ายนายหน้าอิสระขนาดใหญ่ ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้า รวมทั้งยังสามารถขยายพอร์ตโครงการได้หลากหลาย ควบคุมต้นทุน กระจายความเสี่ยงได้ดี ผ่านการให้บริการทั้ง 3 รูปแบบ
1. ที่ปรึกษางานขายโครงการ (BU1) โดยเป็นตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวให้กับเจ้าของโครงการ
2. การบริหารงานขายโครงการ (BU2) เป็นตัวแทนขายและรับประกันการขายแต่เพียงผู้เดียว และให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ (Hybrid) และ
3. การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (BU3) โดยเม็ดเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ นำไปขยายพอร์ตธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสด้านการลงทุนโครงการที่หลากหลายและสร้างการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากฐานะทางการเงินจะเห็นได้ว่า บริษัทฯ มีความสามารถในการสร้างรายได้ และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยงวด 6 เดือนแรกปี 2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย และบริการ 339.41 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 63.30 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 18.58% ซึ่งเป็นการทำกำไรได้เติบโตต่อเนื่องจากปี 2565-2567







