วิกฤติไอพีโอ 13 บจ.ต่ำจอง ตลท. เตือนตั้งราคาต้องสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง

วิกฤติไอพีโอ 13 บจ.ต่ำจอง ตลท.เตือนตั้งราคาต้องสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง โบรกเกอร์ชี้ สภาพคล่องหาย กระทบซื้อขายไอพีโอ "พีอี" สูงกว่าตลาด
KEY
POINTS
- จากหุ้น IPO ทั้งหมด 15 บริษัทที่เข้าตลาดในปีนี้ มีถึง 13 บริษัทที่ราคาเปิดการซื้อขายต่ำกว่าราคาจองซื้อ
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) เน้นย้ำว่าการตั้งราคา IPO ต้องสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท และแนะให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลพื้นฐานอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
- นักวิเคราะห์ชี้ว่าสาเหตุหลักที่หุ้น IPO ต่ำจอง มาจากการตั้งราคา (Valuation) และอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่สูงเกินไป เมื่อเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว
- ภาวะตลาดหุ้นที่ซบเซา และสภาพคล่องในระบบที่ลดลงเหลือเพียง 3-3.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน เป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น IPO เนื่องจากแรงซื้อไม่เพียงพอที่จะรองรับหุ้นใหม่
- นักลงทุนมีความกังวลว่าบริษัทที่เข้าใหม่จะไม่สามารถรักษาอัตราการเติบโตได้ต่อเนื่องเหมือนช่วงก่อนระดมทุน ประกอบกับความไม่แน่นอนด้านต้นทุนการดำเนินงานในอนาคต
จับตาตลาดไอพีโอฟุบ ตลาดชี้เปิดเทรดไอพีโอแล้ว 15 บริษัท ต่ำจองแล้ว 13 บริษัท “ตลท.” แนะการตั้งราคาไอพีโอต้องสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท และสะท้อนราคาที่เหมาะสม แนะนักลงทุนพิจารณาลงทุนรอบคอบ ศึกษาข้อมูลพื้นฐานธุรกิจควบคู่ก่อนลงทุน ด้านนักวิเคราะห์ชี้ การตั้งราคาไอพีโอใหม่ พีอีสูง หากเทียบกับหุ้นที่เทรดในตลาด
หากดูการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO ในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ในภาะที่ครึกครื้นนัก หลายบริษัทที่ออก IPO ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน มีหลายบริษัทที่เปิดเทรดต่ำกว่าราคาจอง ท่ามกลางบรรยากาศตลาดที่ซบเซาไม่ฟื้นตัว ภายใต้วอลุ่มตลาดเบาบางเพียงวันละ 3-3.5 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้น
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปีนี้มี IPO แล้ว 15 บริษัท แต่ส่วนใหญ่เปิดเทรดต่ำกว่าราคาจอง สะท้อนความผันผวนของตลาด อาจกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนนั้น
โดย ตลท.ได้เน้นย้ำว่าการตั้งราคา IPO ต้องสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทอยู่แล้ว และนอกจากเรื่องการตั้งราคาไอพีโอเหมาะสม มองว่ายังมีปัจจัยที่นักลงทุนต้องพิจารณาให้ลึกขึ้น ทั้งศึกษาพื้นฐานธุรกิจ ความสามารถในการแข่งขัน และแผนการเติบโตอย่างรอบด้าน
ขณะที่เกณฑ์ IPO ใหม่ของ ก.ล.ต. และ ตลท. แม้จะเข้มงวดขึ้น แต่ช่วยยกระดับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล และการกำกับดูแล ปกป้องนักลงทุน และหลังติดตามการเข้า IPO พบว่า ขณะนี้ผู้บริหารหลายบริษัท เริ่มมีการอนุมัติให้เดินหน้าระดมทุนตามแผนที่วางไว้ แม้ยังมีความผันผวนจากหลายปัจจัย ทั้งการเลือกตั้งในประเทศ และการตัดสินใจลงทุนจากต่างประเทศ
ส่วนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ นายอัสสเดช ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน ThaiESG เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามเซนทริเมนต์ตลาด โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นในทิศทางที่ดี จากความผันผวนต่างๆ มีภาพชัดเจนขึ้น
ทั้งจากปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิสะสมกว่า “แสนล้านบาท” แต่เดือนต.ค.เริ่มชะลอลงเหลือ 4,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นบางส่วนกลับมา โดยกลุ่มเทคโนโลยี และการเงินยังโดดเด่นกว่าตลาดรวม
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจัยที่กดดันหุ้น IPO ให้ต่ำกว่าราคาจองประกอบด้วย Valuation อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหุ้นเดิมในตลาด รวมถึงหุ้น IPO บางบริษัทมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E สูงใกล้เคียง 20 เท่า แม้จะมีศักยภาพการเติบโตก็ตาม ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น CPALL ซื้อขายที่ P/E ราว 15 เท่า และ CPAXT ซื้อขายที่ P/E ราว 19 เท่า ทำให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้นในการประเมินความคุ้มค่า
ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านการเติบโตหลังเข้าตลาดมาแล้ว นักลงทุนมีข้อสงสัยว่า บริษัทจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้ต่อเนื่องเหมือนช่วงก่อนระดมทุนหรือไม่ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อความเชื่อมั่นในการถือครองหุ้นระยะกลางถึงยาว
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนด้านต้นทุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องพึ่งพาเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ นักลงทุนยังไม่มองเห็นความชัดเจนด้านค่าเสื่อมต้นทุนในอนาคต เช่น การซ่อมบำรุง และการเปลี่ยนอุปกรณ์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อความสามารถทำกำไร
สำหรับแนวโน้มในอนาคตประเมินว่า ตลาด IPO ยังคงเคลื่อนไหวตามสภาวะ Valuation เป็นหลัก โดยช่วงที่ตลาดอ่อนตัว หุ้น IPO ที่ตั้งราคาไม่สูงอาจให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ในช่วงตลาดดีมาก การตั้งราคาเปิดขายมักสูง ทำให้โอกาสทำกำไรต่อไม่มากนัก
ทั้งนี้ นักลงทุนควรพิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุนของตนเองว่าเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น หรือมองถือยาวเพื่อรอการเติบโตของผลประกอบการมากกว่า
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมการเคลื่อนไหวของหุ้น IPO ปัจจัยที่เข้ามากดดันมาจากดัชนีหุ้นไทยยังคงทรงตัว แต่ได้แรงประคองหลักมาจากการปรับขึ้นของหุ้น DELTA เป็นสำคัญ หากตัด DELTA ออก ดัชนีในส่วนของหุ้นอื่นส่วนใหญ่ยังเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway ถึง Sideway Down สะท้อนแรงซื้อในภาพรวมยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง
ขณะเดียวสภาพคล่องในตลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนช่วงโควิด-19 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ระดับกว่า 50,000 ล้านบาท ทำให้กระแสตอบรับหุ้น IPO ค่อนข้างดี แต่ปัจจุบันปริมาณซื้อขายลดลงเหลือเพียง 30,000–35,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอรองรับหุ้นใหม่ที่เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้หุ้นในตลาดที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันบางตัวมี Valuation ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกัน ทำให้ความน่าสนใจของหุ้น IPO ลดลงไปได้
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้น IPO เปิดขายโดยมี P/E ที่สูงกว่า SET อย่างมีนัยสำคัญ เช่น 20–25 เท่า ขึ้นไป ซึ่งหุ้นดังกล่าวจำเป็นต้องมีเรื่องราวการเติบโตที่ชัดเจน และแข็งแรงเพื่อรองรับมูลค่าที่ตั้งไว้ มิฉะนั้นมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลงต่ำกว่าราคาจองได้
ทั้งนี้ ในทางกลับกัน หุ้น IPO ที่ตั้งราคาในระดับ P/E ไม่สูงนัก เช่น 7–8 เท่า หรือช่วง 10–15 เท่า มีแนวโน้มที่ราคาซื้อขายจะเสถียรกว่า และโอกาสต่ำจองจะลดลง
สำหรับทิศทางของตลาด IPO ต่อจากนี้ ยังไม่เข้าสู่ภาวะชะลอตัวถาวร โดยยังมีปัจจัยบวกหนุนจากตลาดไม่น่ากลับไปต่ำกว่าระดับ 1,100 จุดอีก บวกกับการได้รัฐบาลใหม่แล้ว สถานการณ์การเมืองนิ่งขึ้นมีความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นช่วงต้นปีหน้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่ง อาจช่วยเสริมบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







