WASH ร้านสะดวกซักครบวงจร ประเดิมเทรดวันแรกร่วง 18.67% เบียร์ วนนท์ - ไม้ฟืน ร่วมถือหุ้น

หุ้น WASH เปิดซื้อขายวันแรกที่ราคา 6.10 บาท ลดลง 1.40 บาท หรือ 18.67% ต่ำจองจากราคา IPO ที่ 7.50 บาท นักลงทุนสถาบัน-รายใหญ่ ร่วมถือหุ้น
KEY
POINTS
- หุ้น WASH หรือ บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) เปิดซื้อขายวันแรกที่ราคา 6.10 บาท ลดลง 1.40 บาท หรือ 18.67% จากราคา IPO ที่ 7.50 บาท
- วนนท์ วรรณป้าน หรือ "เบียร์" นักลงทุนคนรุ่นใหม่ เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 12 จำนวน 3,100,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.88%
- พะเนียง พงษธา หรือ "ไม้ฟืน" นักลงทุนสายเน้นคุณค่า (VI) ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวน 1,600,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.51%
ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 3 พ.ย.2568 เวลา 10.00 น. หุ้นน้องใหม่ WASH หรือ บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการร้านสะอาดซักครบวงจรของไทย ภายใต้แบรนด์ WashXpress เทรดวันแรกที่ 6.10 บาท ลดลง 1.40 บาท หรือที่ 6.10% จากราคา IPO ที่ 7.50 บาท
ทั้งนี้ จากการรายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เข้าถือหุ้นใหญ่อันดับ 8 จำนวน 4,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.13% ขณะที่ เบียร์ วนนท์ วรรณป้าน หรือ เบียร์ นักลงทุนคนรุ่นใหม่ ถือหุ้นใหญ่อันดับ 12 จำนวน 3,100,000 หุ้น สัดส่วน 0.88% นอกจากนี้ พะเนียง พงษธา หรือ ไม้ฟืน นักลงทุนสายเน้นคุณค่า (VI) ได้รับการจัดสรร 1,600,000 หุ้น สัดส่วน 1.51%
นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า WASH คาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 36 ล้านบาท +11.7% QoQ, +14.9% YoY ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดใหม่ของกำไรรายไตรมาส สะท้อนการเติบโตของรายได้ตามปัจจัยฤดูกาล และผลจากการขยายสาขาใหม่ที่เริ่มสร้างรายได้เต็มไตรมาส ขณะเดียวกันสาขาเดิมยังคงมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดรายได้รวมอยู่ที่ 279 ล้านบาท +11.0% QoQ, +24.5% YoY โดยยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อยู่ในระดับประมาณ 5%
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 36.0% จาก 35.1% ในไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากรายได้ที่เติบโตและประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน ณ สิ้นเดือนกันยายน บริษัทเปิดสาขาใหม่แล้ว 50 สาขา จากเป้าหมายทั้งปี 80 สาขา โดยที่เหลืออีก 30 สาขาอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีที่ดินรองรับครบ คาดว่าบริษัทจะสามารถขยายสาขาได้ตามเป้า ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อรายได้ในปี 2569
อย่างไรก็ตาม หากผลประกอบการไตรมาส 3/68 ออกมาใกล้เคียงประมาณการ จะทำให้กำไรใน 9 เดือนของปี 2568 คิดเป็น 73% ของกำไรทั้งปีที่คาดไว้ 120 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้ในไตรมาส 4/2568 จะมีค่าใช้จ่ายจากการ IPO เข้ามาบางส่วน แต่คาดว่ากำไรสุทธิยังทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ส่งผลให้กำไรทั้งปีมีแนวโน้มเท่ากับหรือสูงกว่าประมาณการ
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีสาขารวม 516 สาขา ใน 20 จังหวัด และเพิ่มเป็น 548 สาขา ใน 21 จังหวัด ณ สิ้นไตรมาส 2/68 โดยยังไม่มีสาขาในภาคเหนือ และเพิ่งเริ่มให้บริการในภาคใต้ 1 จังหวัด หลังการ IPO บริษัทมีความพร้อมมากขึ้นในการขยายสาขาเชิงรุกในทุกภูมิภาค ด้วยกลยุทธ์การเปิดสาขาแบบ “คลัสเตอร์” ครั้งละ 5–10 สาขา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เนื่องจากบริษัทใช้ทีมช่าง ทีมทำความสะอาด และ Call Center ของตนเองทั้งหมด
นอกจากการขยายสาขาใหม่แล้ว บริษัทยังมีแผนเพิ่มรายได้จากสาขาเดิม โดยใช้เงิน IPO เพื่อปรับปรุงพื้นที่ให้นั่งสบายมากขึ้น เพิ่มอัตราการใช้งานเครื่องในช่วงกลางวัน (Off-peak) และเตรียมเปิดบริการใหม่ เช่น ซัก-อบ-พับ, รับรีดเสื้อผ้า และบริการเดลิเวอรี่ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าและสร้างรายได้เพิ่มเติม
โดยคาดรายได้ปี 2569 จะอยู่ที่ 1,275 ล้านบาท +21.4% YoY และกำไรสุทธิที่ 166 ล้านบาท +38.4% YoY โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย CAGR ของกำไรสุทธิในช่วงปี 2567-2570 ที่ประมาณ 35.9%
ทั้งนี้ ได้ใช้วิธีประเมินมูลค่าด้วย PER ที่ 22 เท่า ใกล้เคียงกับ -1SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีของตลาด mai โดยอิงกำไรปี 2569 ที่คาดไว้ 166 ล้านบาท หรือ EPS 0.47 บาท ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2569 ที่ 10.30 บาท มีอัพไซด์ราว 37% จากราคาปัจจุบัน มองว่าระดับราคาต่ำกว่า 8.75 บาท ซึ่งให้ Upside ประมาณ 20% เป็นจุดที่น่าสะสม สำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นเติบโตระยะกลางถึงยาว







