ไม่พลิกโผ! TURBO เทรดวันแรก พุ่ง 56% รับธีมดอกเบี้ยขาลง โบรกคาดกำไรโต 250%

ไม่พลิกโผ! TURBO เทรดวันแรก พุ่ง 56% รับธีมดอกเบี้ยขาลง โบรกคาดกำไรโต 250%

หุ้นน้องใหม่เปิด TURBO เทรดวันแรก ราคาพุ่ง 2.34 บาท เพิ่มขึ้น  0.84 บาท หรือที่ 56.00% จากราคา IPO ที่ 1.50 บาท รับธีมดอกเบี้ยขาลง โบรกคาดกำไรปีนี้โต 250%

KEY

POINTS

  • หุ้น TURBO เปิดซื้อขายวันแรกที่ราคา 2.34 บาท เพิ่มขึ้น 56% จากราคาเสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่ 1.50 บาท
  • นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 2568 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดย บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่าจะอยู่ที่ 496 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 250% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส คาดว่าจะอยู่ที่ 525 ล้านบาท
  • TURBO ได้รับประโยชน์โดยตรงจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้เร็วกว่าคู่แข่งในกลุ่ม เนื่องจากบริษัทใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารเป็นหลัก

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 30 ก.ย.2568 เวลา 10.00 น.หุ้นน้องใหม่ TURBO หรือ บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) เปิดเทรดวันแรกที่ 2.34 บาท เพิ่มขึ้น  0.84 บาท หรือที่ 56.00% จากราคา IPO ที่ 1.50 บาท

ไม่พลิกโผ! TURBO เทรดวันแรก พุ่ง 56% รับธีมดอกเบี้ยขาลง โบรกคาดกำไรโต 250%

ธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า คาดผลประกอบการในอนาคต TURBO เติบโตสูง ภายหลังการระดมทุนแล้วเสร็จ กลุ่มบริษัทฯ จะสามารถนำเงินทุนไปขยายธุรกิจการให้สินเชื่อเมื่อบวกกับสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะปรับตัวลง โดยเฉพาะอัตราส่วน Cost-to-income rato ที่คาดว่าจะปรับตัวลงจาประสิทธิภาพในการปล่อยสินเชื่อเฉลี่ยต่อสาขาที่เพิ่มขึ้นตามอายุของสาขา และ Credit Cost ที่คาดูว่าจะปรับตัวลง เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มความรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นบวกกับได้มีการตัดหนี้สูญและตั้งคาเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนหน้าไปแล้ว อีกทั้งยังคาดว่าจะเห็นการขาดทุนรถยึดที่ลดลงจากแนวโน้มราคารถมือสองที่สูงขึ้น ส่งผลให้เราคาดกำไรในปี 2568 ถึง 2570 ที่ 496 ล้านบาท (+250%YoY) 611 ล้านบาท (+23%YoY) และ 754 ล้านบาท (+23%YoY) ตามลำดับ 

โดยกำไรงวดครึ่งปีแรกของปี 2568 คิดเป็นราว 48% ของประมาณการกำไรปี 2568 โดยกลุมบริษัทฯ คาดว่าจะมีการขยายสาขาราว 480 สาขา ในระยะเวลา 5 ปี เป้าหมายไม่น้อยกว่า 1,475 สาขาในปี 2572

ทั้งนี้ ประเมินราคาเป้าหมายปี 2569 ของ TURBO ที่ 2.3 บาท โดยอิง Relative PBV 1.5 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย PBV ของธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาดฯ ขณะที่กลุ่มธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน อาทิ SAWAD MTC TIDLOR และ SAK ที่ 1.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้าง Conservative หากเปรียบเทียบด้วยมิติ ROE และ PBV
    
บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า คาดหุ้น TURBO กำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 525 ล้านบาท เพิ่มจาก 142 ล้านบาท ในปี 2567 หนุนด้วย Credit cost และ Cost to income ratio มีพัฒนาการ รวมถึงรายได้เติบโต ขณะที่คาดอัตราการเติบโตของกำไรฯ ปี 2569-2570 เฉลี่ยอยู่ที่22% จากสินเชื่อเพิ่มและการบริหารค่าใช้จ่าย หนุน ROE ที่ 16% ดีกว่ากลุ่มฯ ที่โต 10% -11% และ มี ROE 15% อิง GGM ได้ PBV ที่ 1.4 เท่า ให้ FV ปี 2569 ที่ 2.3 บาท เทียบเท่า PER 10 เท่า

ทั้งนี้ TURBO มีจุดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตและ ROE ดีกว่ากลุ่มฯ อีกทั้งรับประโยชน์จากวงจรดอกเบี้ยขาลงเร็วกว่ากลุ่มฯ เนื่องจากใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารเป็นหลัก นอกจากนี้ประเมินว่า NPL ผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วช่วยให้การจัดการ Credit cost มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยรวมถือเป็นอีก 1 ตัวเลือก ในธีมดอกเบี้ยขาลง

สำหรับ TURBO ผู้ให้บริการสินเชื่อลูกค้ารายย่อย เริ่มก่อตั้งในปี 2560 หลักๆ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/68 คิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของพอร์ตสินเชื่อ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/68 คิดเป็นสัดส่วนราว 20 % ของพอร์ตสินเชื่อ และ สินเชื่อโฉนดที่ดิน (ณ สิ้น
งวดไตรมาส 2/68 คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโต พิจารณาจากฐานสินเชื่อ ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ ปี 2565 –ครึ่งปีแรกของปี 2568 ขยายตัวเฉลี่ยราว 17% ต่อปี มาอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ภายใต้การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง 

ล่าสุด ณ สิ้น มิ.ย.2568 อยู่ที่ 996 สาขา เทียบกับ MTC 8,433 สาขา SAWAD 5,760 สาขา AUTOX ของ SCB ราว 2 พันสาขา TIDLOR 1,832 สาขา และ สมหวัง เงินสั่งได้ ของ TISCO 808 สาขา สะท้อนโอกาสในการขยายตัวด้านสินเชื่อในระยะข้างหน้า 

ด้านการดำเนินงาน แม้ช่วงปี 2566-2567 มีกำไรสุทธิ 132 – 142 ล้านบาท ลดลงจาก 338 ล้านบาทในปี 2565 จากการตั้งสำรองสูงขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับคุณภาพสินทรัพย์ รวมถึงราคารถยนต์มือสองต่ำลง และวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น 

อย่างไรก็ดีในมุมฝ่ายวิจัยมองว่า สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มดีขึ้นแล้ว หลังราคารถยนต์มือสองฟื้นตัว YoY ต่อเนื่อง และกลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น ช่วยให้ NPL ปัจจุบันต่ำลงจากสิ้นปี 2567 ประกอบกับดอกเบี้ยนโยบายที่พลิกกลับเป็นขาลง โดยภาพดังกล่าวสะท้อนผ่านกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่ 236 ล้านบาท ฟื้นตัวจาก 61 ล้านบาท งวดครึ่งปีแรกของปี 2567

ทั้งนี้ แม้บริษัทฯ เริ่มก่อตั้งในปี 2560 แต่ในมุมฝ่ายวิจัยมองว่า ประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ ถือว่าได้ผ่านการบริหารงานภายใต้ 2 วัฎจักรหลัก อย่างวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจาก 0.5% ช่วง COVID สู่จุดสูงสุดของรอบนี้ที่ 2.5% และปัจจุบันเริ่มทยอยกลับมาอยู่ที่ 1.5% ซึ่งเคยกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน ส่งผลให้ Cost of fund ขยับจาก 3.3% ในปี 2565 มาที่ 4.6% ในปี 2567 ขณะที่ครึ่งปีแรของปี 2568 ที่ 4.3%

ขณะที่ วัฎจักร NPL ขาขึ้น จาก 1.9% ณ สิ้นปี 2564 มาที่ 4.2% ณ สิ้นปี 2567 เป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้ประกอบการสินเชื่อรายย่อย ตามภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการแก้ปัญหา ผ่านการดำเนินนโยบายสินเชื่อเข้มงวด เป็นเหตุให้สินเชื่อ ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/68 ชะลอ 4% YTD ผ่าน Credit scoring ตั้งแต่ไตรมาส 1/67  รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดระบบการติดตามหนี้ โดยพนักงานสาขาทวงถามหนี้ ติดตามอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด ทำให้ระดับ NPL เริ่มทยอยลดลงเหลือ 4.1% ณ สิ้นงวด 2Q68 แม้ระดับ NPL ดังกล่าวสูงกว่ากลุ่มฯ แต่ในเชิงทิศทางปรับตัวลงจากสิ้นปี 2567 ถือว่าทำได้ดีกว่า AUTOX SAWAD และ สินเชื่อจำนำทะเบียนของ TISCO 

สำหรับการ IPO ครั้งนี้ ทาง TURBO จะนำเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนรวมไม่เกิน 537,000,000 หุ้น (พาร์ 0.50 บาท) คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ หลังการ IPO ในครั้งนี้ แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุน (หุ้นใหม่) ที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 447,780,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 83% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต การชำระคืนหนี้กับธนาคาร และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 

และหุ้นสามัญเดิม ที่เสนอขายโดย บจก.กสิกร วิชั่น จำนวนไม่เกิน 89,220,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขาย ภายหลัง IPO จำนวนหุ้นของบริษัทฯ จะอยู่ที่ 2,670,000,000 หุ้น ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 2,222,220,000 หุ้น โดย บจก. กสิกร วิชั่น มีข้อตกลงกับ TURBO ในการห้ามขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่หลัง IPO เป็นระยะเวลา 6 เดือนนับจากวันแรกที่ TURBO เริ่มทำการซื้อขายใน SET

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีโครงการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทฯ (TURBO-E1 – E4) จำนวน 50 ล้านหุ้น ทยอยใช้สิทธิภายใน 5 ปี นับจากวันที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติ ราคาใช้สิทธิตั้งแต่ 0 บาท ถึง 1.25 เท่า ของราคา IPO คิดเป็นสัดส่วนไม่สูงเพียง 1.9% ของจำนวนหุ้นหลัง IPO

โดยภายใต้เกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้ Strategic Shareholders กรรมการ ผู้จัดการ และผู้บริหารรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง, ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้น > 5% ของทุนชำระแล้ว รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้มีอำนาจควบคุม ห้ามขายหุ้นสัดส่วน 55% ของหุ้นสามัญเรียกชำระแล้วหลังเสนอขายหุ้น IPO หรือ 1,468,500,000 หุ้น เป็นเวลา 1 ปี นับจากวันแรกที่บริษัทเข้าซื้อขายในตลาดฯ ครบกำหนด 6 เดือนแรกหลังเข้าซื้อขายในตลาดฯ จะสามารถขายได้จำนวน 25% ที่เหลือ 75% จะขายได้เมื่อครบกำหนด 1 ปี

ความเห็นฝ่ายวิจัย ภายหลัง IPO ช่วยให้บริษัทฯ สามารถ Financial leverage เพิ่มขึ้น จาก ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/68 ที่มีสัดส่วน D/E ที่ 3.4เท่า หากไม่รวมเงินกู้ยืมจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน และนำไปบวกกลับในส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้ D/E ตามเงื่อนไข Debt covenant ของหุ้นกู้จะอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่า ต่ำกว่าเงื่อนไขที่ 3.5 เท่า) และคาดสามารถดำเนินตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 20% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ

นอกจากนี้สถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET น่าจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถเจรจาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารได้ดีขึ้น รวมถึงโอกาสในการถูกเพิ่ม Credit rating ในอนาคต อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ โดย TRIS Rating ปัจจุบันอยู่ที่ BBB- แนวโน้ม Stable 

อย่างไรก็ตาม หากอิง GGM กำหนด ROE ระยะยาวใกล้เคียงกับปี 2570 ที่ 16% และ Cost of equity ที่ 13% ได้ PBV ที่ 1.4 เท่า ค่าเฉลี่ย SETFIN ตั้งแต่ปี 2563 ที่ 2.2 เท่า บนฐานมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นปี 2569 ที่ 1.7 บาท ให้ FV ปี 2569 ที่ 2.3 บาท เทียบเท่า PER ราว 10 เท่า ค่าเฉลี่ย SETFIN ตั้งแต่ปี 2563 ที่ 18 เท่า ให้ส่วนลดจาก PER ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า TIDLOR และ MTC ที่ 13 – 14 เท่า เนื่องจาก TURBO มีระดับ NPL สูงกว่าและ Coverage ratio ต่ำกว่า แต่มีด้านดีชดเชยจากแนวโน้มกำไรฯ ขยายตัวในอัตราสูงกว่า

ในมุมฝ่ายวิจัยมองว่า TURBO มีจุดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตสูงกว่ากลุ่มฯ เพราะธุรกิจยังมีช่องทางให้ขยายตัวทั้งในด้านสินเชื่อ ผ่านการเปิดสาขาใหม่ รวมทั้งสินเชื่อต่อสาขาเดิม และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยผลักดันให้ ROE เด่นกว่ากลุ่มฯ ช่วง 3 ปี ข้างหน้า อีกทั้งรับประโยชน์จากวงจรดอกเบี้ยขาลง เร็วกว่ากลุ่มฯ เนื่องจากใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารเป็นหลัก ซึ่งอิงกับ M-Rate (กลุ่มฯ ใช้ตราสารหนี้เป็นหลัก) นอกจากนี้ประเมินว่า NPL ผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว ช่วยให้การจัดการ Credit cost มีความคล่องตัวมากขึ้น