หุ้นน้องใหม่ NUT ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เปิดเทรดวันแรกผิดหวัง! ร่วง 8.82% พบ เซียนหุ้น 'พีรนาถ'เข้าถือหุ้นใหญ่

หุ้นน้องใหม่  NUT ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เปิดเทรดวันแรกผิดหวัง! ร่วง  8.82% พบ เซียนหุ้น 'พีรนาถ'เข้าถือหุ้นใหญ่

หุ้นน้องใหม่ NUT ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เปิดเทรดวันแรกผิดหวัง! ร่วง 8.82% ลดลง 0.60 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 6.20 บาท จากราคา IPO ที่ 6.80 บาท พบ เซียนหุ้น 'พีรนาถ' เข้าถือหุ้นใหญ่ลำดับ 9 "นักวิเคราะห์" เผยว่า บริษัทมีรายได้ลดลงเล็กน้อย ไตรมาส 1/68 ที่ 290 ล้านบาท สาเหตุมาจากกำลังซื้อของคนในประเทศลดลง สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีการหดตัวผู้บริโภค

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 11 มิ.ย.2568 เวลา 10.00 น.หุ้นน้องใหม่ NUT หรือ บริษัท นูทริชั่น โปรเฟส จำกัด (มหาชน) เปิดเทรดวันแรกที่ 6.20 บาท ลดลง 0.60 บาท หรือที่ 8.82% จากราคา IPO ที่ 6.80 บาท  

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ถือหุ้นใหญ่ พบว่า มีเซียนหุ้นเข้าถือร่วมด้วย 1 รายได้แก่ พีรนาถ โชควัฒนา เข้าถือหุ้นใหญ่ลำดับ 9 จำนวน 948,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.79% 

 

หุ้นน้องใหม่  NUT ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เปิดเทรดวันแรกผิดหวัง! ร่วง  8.82% พบ เซียนหุ้น \'พีรนาถ\'เข้าถือหุ้นใหญ่

วิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า NUT มีความโดดเด่นในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการพัฒนาและผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และไม่มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารสภาพคล่องจากการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิต ด้วยการจัดหาวัตถุดิบจากต่างประเทศ ส่งผลให้ความสามารถในการบริหารอัตรากำไรขั้นต้นดีต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2567 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 83.94% และในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ระดับ 85.17% จากการออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันรายได้รวมของบริษัทในช่วงปี 2565-2567 อยู่ที่ 870.14 ล้านบาท, 1,187.87 ล้านบาท และ 1,165.45 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ฝ่ายวิจัย  บล.โกลเบล็ก ระบุว่า รายได้จากการขายในช่วงปี 2565 ที่ 859 ล้านบาท ปี 2567 ที่ 1,183 ล้านบาท และไตรมาส 1/68 ที่ 290 ล้านบาท บริษัทมีรายได้ลดลงเล็กน้อย ซึ่งมีสาเหตุมาจากกำลังซื้อของคนในประเทศลดลง สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีการหดตัวผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น NPM เท่ากับ 4.8% 5.5% 4.7% และ 9.9% ตามลำดับ 

โดยช่วงไตรมาส 1/68 อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น มีสาเหตุหลักจากบริษัทมีบริษัทพยายามควบคุมต้นทุนจัดจำหน่ายได้ดีขึ้นโดยเฉพาะค่าโฆษณา ซึ่งบริษัทพยายามให้ลูกค้ากลับมาซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่อไปเรื่อย ๆ จากการซื้อซ้ำ ส่งผลให้ช่วงปี 2565-2567 และงวดไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 42 ล้านบาท 65 ล้านบาท 55 ล้านบาท และ 29 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 90 ล้านบาท เติบโต 63.4%YoY

สำหรับจำนวนหุ้น IPO ไม่เกิน 37 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 30.83% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่าที่ตรำไว้ 0.5 บาทต่อหุ้น โดยราคา IPO  คิดเป็น historical P/E ที่ประมณ 12.7 เท่า คิดเทียบกับ P/E โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์การระดมทุน นำเงินทุนหมุนเวียนสำหรับ การโฆษณาประชำสัมพันธ์ การผลิต Content รูปแบบเนื้อหา และการว่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

ภาคิณ กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ภายหลังการประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในการเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 37 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ที่ราคา IPO ที่หุ้นละ 6.80 บาท คิดเป็นสัดส่วน 30.83% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท ซึ่งนับเป็นเป็นก้าวที่สำคัญของบริษัท สำหรับการเสนอขายหุ้นไอพีโอให้กับนักลงทุนในครั้งนี้ ที่จะสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน 

โดยบริษัทมีแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพมากขึ้น ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล โดยจะมุ่งเน้นการสื่อสารผ่านคอนเทนต์คุณภาพและการเลือกใช้เครื่องมือการตลาดและการประชาสัมพันธ์ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของบริษัท เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น