PHG ‘รพ.เอกชน’ แถวหน้าย่านรังสิต ลุยระดมทุนต่อยอดธุรกิจรับการเติบโต

"แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป" เร่งพันธกิจสร้างการเติบโตครั้งใหญ่ ! รุกขยายอาคาร-ลานจอดรถ "จุดขาย" ไอพีโอน้องใหม่ ในราคาหุ้นละ 21 บาท คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรก 6 ก.ค. 66
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ธุรกิจโรงพยาบาล” อัตราการเติบโตจะไม่ได้ “หวือหวา”... แต่ลักษณะของการเติบโตจะค่อนข้างมีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคง แม้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและในประเทศชะลอตัวก็ตาม ทว่าสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับทุกคนหันมาตระหนัก และให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น ! โดยเฉพาะหลังเกิดการระบาดของโควิด-19
และหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลอย่าง บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG ธุรกิจหลักคือ การให้บริการทางการแพทย์ภายใต้ “กลุ่มโรงพยาบาลแพทย์รังสิต” ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนกว่า 36 ปี พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบริการทางการแพทย์ทั่วไปและเฉพาะทางกว่า 20 สาขา
กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อเร่งสร้างการเติบโตครั้งใหม่ ! ด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 54 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 21 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00 บาท คิดเป็น 18% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด และคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) วันที่ 6 ก.ค. 2566
PHG เป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์ภายใต้โรงพยาบาลจำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย 1.โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2.โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 และ 3.โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต โดยสามารถรองรับผู้รับบริการทางการแพทย์จากคนในจังหวัดกรุงเทพตอนเหนือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง โดยให้บริการทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไป กลุ่มลูกค้าภายใต้สวัสดิการภาครัฐ และลูกค้าชาวต่างชาติ
ณ ปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลแพทย์รังสิต มีจำนวนเตียงจดทะเบียนรวมทั้งหมดจำนวน 270 เตียง ประกอบด้วย โรงพยาบาลแพทย์รังสิต โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 และ โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต จำนวน 155 เตียง จำนวน 59 เตียง และจำนวน 56 เตียง ตามลำดับ
ด้วย “จุดเด่น” ของ PHG คือ จาก “ศักยภาพ” ทางธุรกิจที่ระดับสูง และด้วยความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเฉพาะทางแม่และเด็ก และความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจด้วย “การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด” หรือ “Open Heart Surgery” โดยมีให้บริการศูนย์หัวใจ 24 ชั่วโมง และสามารถต่อยอดการพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ เสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการเกี่ยวกับโรคผู้สูงอายุ โรคทางนรีเวชแบบ Non-Invasive Surgery และโรคมะเร็งแบบครบวงจร รวมทั้งการขยายศูนย์ฟอกไต คาดเริ่มก่อสร้างไตรมาส 4 ปี 2567 ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
“โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 2” มูลค่า 300 ล้านบาทภายในปี 2569 , “การซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์” มูลค่า 250 ล้านบาทภายในปี 2567 “ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงินบางส่วน” มูลค่า 150 ล้านบาทภายในปี 2566 และ “เงินทุนหมุนเวียน” ในการดำเนินธุรกิจ มูลค่า 134 ล้านบาทภายในปี 2566
ทั้งนี้ การลงทุนโครงการทั้งหมด เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่การให้บริการ ซึ่งโครงการทั้งหมดอยู่ในที่ดินผืนเดียวกันกับโรงพยาบาลแพทย์รังสิตเดิม ซึ่งจะทำให้เกิด “Economy of Scale” ในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับการแชร์ทรัพยากรและบุคลากรร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรในอนาคตจะดีขึ้นกว่าปัจจุบันด้วย
สำหรับ เป้าหมายในปี 2566 มองว่ารายได้จะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10% แต่หลังจากที่บริษัทขยายธุรกิจได้ครบตามแผนที่วางไว้ จะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้สูงขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทมีพื้นที่ให้บริการสำหรับรองรับคนไข้ที่เข้ามาได้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า PHG จะยังเป็นโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็ก แต่ด้วยศักยภาพของผู้บริหารและทีมงาน รวมถึงการตั้งอยู่ในทำเลที่ศักยภาพ ทำให้ยังมีโอกาสอีกมากในการสร้างการเติบโต และหากเทียบกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่แล้ว โรงพยาบาลขนาดเล็กยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้มากกว่า
ขณะที่ บริษัทมีรายได้ที่มั่นคงจากฐานกลุ่มลูกค้าทั่วไปและกลุ่มลูกค้าสิทธิสวัสดิการภาครัฐ ในสัดส่วน 50 : 50 โดยมีจำนวนผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคม 1.56 แสนคน การที่ สปส. อนุมัติการปรับขึ้นอัตราค่าบริการเหมาจ่ายต่อหัวเป็น 1,808 บาทต่อคนต่อปี จาก 1,640 บาทต่อคนต่อปี เริ่ม 1 พ.ค. 2566 นับเป็นผลบวกต่อโรงพยาบาลที่มีลูกค้าประกันสังคม 1.56 แสนคน ดังนั้นจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
“แผนในการขยายธุรกิจของ PHG มีความน่าสนใจ เพราะจะเพิ่มศักยภาพในการรองรับ และให้บริการทางการแพทย์ที่สูงขึ้น สร้างโอกาสในการเติบโต รวมถึงเป็นการต่อยอดการให้บริการทางการแพทย์ที่โดดเด่นอยู่แล้วให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้นในอนาคต”
ท้ายสุด “รณชิต” ฝากไว้ว่า เราเป็นธุรกิจโรงพยาบานซึ่งพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง และโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้นมาก และหุ้นในกลุ่มการแพทย์ถือเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensive stock) โดยเฉพาะในภาวะตลาดหุ้นไทยที่เผชิญความผันผวนค่อนข้างมาก







